ถูกจับคดียาเสพติด ขอลดหย่อนโทษเนื่องจากได้บอกข้อมูลปราบปรามยาเสพติดให้กับตำรวจที่ไม่เกี่ยวข้องกับคดี ศาลรับฟังหรือไม่?

กฏหมายยาเสพติด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2446/2562

พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/2 ที่บัญญัติว่า “ถ้าศาลเห็นว่าผู้กระทำความผิดผู้ใดได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อพนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจ หรือพนักงานสอบสวน ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นก็ได้” ซึ่งตามบทบัญญัติดังกล่าวผู้ให้ข้อมูลในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษจะต้องเป็นผู้กระทำความผิดและให้ข้อมูลต่อพนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจที่จับกุมผู้กระทำความผิด หรือพนักงานสอบสวนในคดีที่ผู้กระทำความผิดถูกดำเนินคดี และข้อมูลดังกล่าวต้องเป็นข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ

บันทึกการจับกุมและบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยไม่ปรากฏชื่อสิบตำรวจเอก ว. เป็นเจ้าพนักงานตำรวจที่ร่วมจับกุมจำเลย หรือเป็นพนักงานสอบสวนในคดีที่จำเลยถูกดำเนินคดี พยานจำเลยที่นำสืบมาไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังว่าจำเลยได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อเจ้าพนักงานตำรวจ จำเลยจึงไม่ได้รับประโยชน์ตามมาตรา 100/2 แห่ง พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522

อธิบายกฎหมายแบบบ้านๆ

ถูกจับคดียาเสพติด ขอลดหย่อนโทษเนื่องจากได้บอกข้อมูลปราบปรามยาเสพติดให้กับตำรวจที่ไม่เกี่ยวข้องกับคดี ศาลรับฟังหรือไม่?

 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯ ได้กำหนดเงื่อนไขในการที่ศาลสามารถลงโทษผู้กระทำความผิดให้ได้รับโทษน้อยกว่าโทษขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนดไว้ได้ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดนั้นได้ให้ข้อมูลที่ถือว่าเป็นประโยชน์สำคัญในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดนั้น

โดยกฎหมายกำหนดว่าต้องเป็นการให้ข้อมูลของผู้ที่กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด คือเป็นจำเลยที่ได้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และได้ให้ข้อมูลที่ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อพนักงานสอบสวน พนักงานฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่ตำรวจ

พูดง่ายๆ ก็คือ จำเลยที่ทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดนั้นได้ซัดทอดหรือให้การว่ามีผู้อื่นได้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดอีกด้วย

เพราะจุดประสงค์ของการกำหนดกฎหมายข้อนี้ขึ้นมาก็เพื่อจูงใจให้จำเลยให้การซัดทอดผู้ที่กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดรายอื่นๆ เพื่อให้ตำรวจได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์และสามารถทำการจับกุม

เพื่อปราบปรามให้ยาเสพติดหมดไป และไม่เป็นการตัดสายการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้น้อยลงด้วย

ซึ่งศาลฎีกาได้ตัดสินตามคำพิพากษานี้ว่า ถือว่าจำเลยไม่ได้ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดของผู้กระทำความผิดรายอื่น เพราะจากการนำพยานจำเลยเข้าสืบไม่เพียงพอให้ศาลรับฟังได้ว่า มีผู้อื่นที่ได้กระทำความผิด จึงไม่ถือว่าเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด

ประกอบกับจำเลยได้ให้การแก่ตำรวจที่ไม่ได้เข้าร่วมจับกุมจำเลยในการกระทำความผิดครั้งนี้ ถึงแม้จะเป็นเจ้าพนักงานตำรวจตามที่กฎหมายระบุไว้ก็ตาม

แต่ก็เป็นเจ้าพนักงานตำรวนคนอื่นที่ไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานตำรวจที่เข้าร่วมจับกุมจำเลยที่ได้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดครั้งนี้ด้วย จึงถือว่าเป็นตำรวจอื่นที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการจับกุมจำเลย

ศาลจึงนำมาประกอบการพิจารณาว่า จำเลยได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดต่อพนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจ หรือพนักงานสอบสวน เพราะกฎหมายบทนี้เป็นการให้ดุลพินิจแก่ศาลที่จะลงโทษผู้กระทำความผิดน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดเพียงใดก็ได้

ดังนั้นจึงต้องตีความโดยเคร่งครัด ศาลจึงเห็นว่าจำเลยไม่ได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและยังไม่ได้ให้ข้อมูลต่อตำรวจผู้ที่ทำการจับกุม

จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ทั้ง 2 เงื่อนไข ดังนั้นศาลจึงตัดสินว่าจำเลยไม่ได้รับประโยชน์ตามกฎหมายข้อนี้ ศาลจึงไม่สามารถลงโทษจำเลยน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนดไว้ได้ คงลงโทษได้ตามที่กฎหมายกำหนดอัตราโทษไว้ตามปกติ