คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1666/2562
พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่า จำเลยเป็นฝ่ายไปเรียกเงินจากโจทก์เพื่อเป็นการตอบแทนในการไปวิ่งเต้นให้สามีโจทก์ได้รับพระราชทานอภัยโทษ หลังจากมอบเงินให้จำเลย จำเลยไม่สามารถดำเนินการให้สามีโจทก์ได้รับพระราชทานอภัยโทษได้ เมื่อโจทก์ทวงถามจำเลยก็บ่ายเบี่ยงและไม่ยอมคืนเงินให้ แสดงว่าจำเลยไม่มีเจตนาที่จะวิ่งเต้นให้สามีโจทก์ได้รับพระราชทานอภัยโทษหรือรู้อยู่แล้วว่าไม่สามารถวิ่งเต้นกรณีดังกล่าวได้ อันเป็นการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือหลองลวงโจทก์ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ จึงเป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องคดีในข้อหานี้ได้ และกรณีฟังไม่ได้ว่าโจทก์มีเจตนาตั้งแต่แรกจะวิ่งเต้นให้สามีโจทก์ได้รับพระราชทานอภัยโทษ แต่โจทก์กระทำไปเพราะถูกจำเลยหลอกลวง ถือไม่ได้ว่าโจทก์มีส่วนร่วมในการกระทำความผิด โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยมีสิทธินำคดีมาฟ้องได้
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 1/2562)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143 จำคุก 3 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติโดยคู่ความไม่ได้โต้แย้งกันในชั้นฎีกาว่า โจทก์กับจำเลยเป็นญาติกัน จำเลยเคยประกอบอาชีพเป็นทนายความ โจทก์ตกลงให้จำเลยติดต่อทำเรื่องขอทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอรับพระราชทานอภัยโทษให้แก่นายสอน สามีโจทก์ ซึ่งเป็นนักโทษเด็ดขาดในคดีที่ศาลฎีกาพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกตลอดชีวิต โดยตกลงกันในราคา 250,000 บาท แต่หลังจากโจทก์มอบเงินให้จำเลยไปแล้วนายสอนก็ยังไม่ได้ออกจากเรือนจำ
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ข้อนำสืบของจำเลยไม่สมเหตุสมผล กล่าวคือ จำเลยอ้างว่าโจทก์เป็นฝ่ายขอให้จำเลยช่วยเหลือวิ่งเต้นขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่สามีโจทก์ แต่จำเลยไม่ทราบวิธีการ จึงสอบถามเพื่อนทนายความด้วยกันจนสามารถรู้จักนายอุดร ซึ่งจะเป็นผู้วิ่งเต้น ซึ่งเป็นข้ออ้างที่ไม่น่าเชื่อถือเพราะไม่มีเหตุผลที่จำเลยจะต้องไปขวนขวายหาผู้ที่จะไปวิ่งเต้นช่วยเหลือโจทก์โดยที่ไม่ได้ค่าตอบแทนเพราะจำเลยเองไม่รู้ช่องทาง นอกจากนี้ ในวันจ่ายเงินให้กัน จำเลยก็ไปกับภริยา และบุคคลที่อ้างว่าเป็นเลขาของนายอุดร โดยจำเลยอ้างว่าเมื่อรับเงินจากทางนางสุภาแล้ว จำเลยมอบเงินให้บุคคลดังกล่าวไป ทำนองว่าจำเลยไม่ได้รับเงินจากโจทก์ ซึ่งไม่สมเหตุสมผลหลายประการ ประการแรก เหตุใดในวันรับเงินจำเลยจึงพาภริยาของจำเลยไป เพราะหากจำเลยไม่ใช่เป็นผู้รับเงินเองซึ่งเป็นเงินจำนวนมาก ไม่มีเหตุผลที่จำเลยจะต้องพาภริยาไปด้วย เชื่อว่าเหตุที่จำเลยพาภริยาไปด้วยในวันนั้นเพราะเป็นเงินจำนวนมาก จึงต้องพาภริยามาช่วยดูแล ประการที่สอง เหตุใดนางสุภาต้องมอบเงินให้แก่จำเลยแล้วให้จำเลยมอบเงินให้แก่เลขาของนายอุดร แทนที่จะให้นางสุภามอบเงินแก่เลขาของนายอุดรโดยตรง เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะหากจะให้นางสุภามอบเงินแก่เลขาของนายอุดรโดยตรงเชื่อว่าโจทก์คงไม่ยินยอมเพราะโจทก์อาจอ้างว่าโจทก์ตกลงกับจำเลยจึงต้องมอบเงินให้แก่จำเลย การที่จำเลยรับเงินจากนางสุภาแล้วมอบให้แก่เลขาของนายอุดร น่าจะเป็นเรื่องแสร้งทำเพื่อให้โจทก์เห็นว่าจำเลยไม่ได้เป็นผู้รับเงิน หากวิ่งเต้นไม่สำเร็จ โจทก์จะมาทวงเงินจากจำเลยไม่ได้ ซึ่งบุคคลที่อ้างว่าเป็นเลขาของนายอุดร จำเลยก็ไม่ได้ระบุว่าเป็นใคร ข้อนำสืบของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่า จำเลยเป็นฝ่ายไปเรียกเงินจากโจทก์ เพื่อเป็นการตอบแทนในการไปวิ่งเต้นให้สามีโจทก์ได้รับพระราชทานอภัยโทษ ได้ความจากพยานหลักฐานโจทก์ว่า หลังจากมอบเงินให้จำเลย จำเลยไม่สามารถดำเนินการให้สามีโจทก์ได้รับพระราชทานอภัยโทษได้ เมื่อโจทก์ทวงถามจำเลยก็บ่ายเบี่ยงและไม่ยอมคืนเงินให้ แสดงว่าจำเลยไม่มีเจตนาที่จะวิ่งเต้นให้สามีโจทก์ได้รับพระราชทานอภัยโทษหรือรู้อยู่แล้วว่าไม่สามารถวิ่งเต้นกรณีดังกล่าวได้ อันเป็นการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือหลอกลวงโจทก์ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า ตามข้อเท็จจริงที่ได้ความถือว่า โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ จึงเป็นผู้เสียหาย มีอำนาจฟ้องคดีในข้อหานี้ได้ และกรณีฟังไม่ได้ว่าโจทก์มีเจตนาตั้งแต่แรกจะวิ่งเต้นให้สามีโจทก์ได้รับพระราชทานอภัยโทษ แต่โจทก์กระทำไปเพราะถูกจำเลยหลอกลวง ถือไม่ได้ว่าโจทก์มีส่วนร่วมในการกระทำความผิด โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยมีสิทธินำคดีมาฟ้องได้ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อมาว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 หรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีตัวโจทก์ นางสุภา และนางอาภรณ์เบิกความทำนองเดียวกันว่า จำเลยบอกโจทก์ว่า จำเลยรู้จักคนที่สามารถวิ่งเต้นทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาให้นายสอนได้รับพระราชทานอภัยโทษได้และจำเลยเรียกเงินจากโจทก์จำนวน 250,000 บาท ไป พยานโจทก์ทั้งสามปากเบิกความถึงเหตุการณ์เดียวกันสอดคล้องต้องกันไม่ปรากฏข้อพิรุธดังวินิจฉัยมาแล้ว โจทก์และจำเลยเป็นญาติกัน ไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าพยานโจทก์จะแกล้งปรักปรำจำเลย เชื่อว่าพยานโจทก์เบิกความไปตามความเป็นจริง จำเลยเป็นบุคคลเพียงคนเดียวที่เชื่อมโยงระหว่างโจทก์กับบุคคลที่มารับเงินไป ข้ออ้างของจำเลยที่ว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับบุคคลที่ดำเนินการยื่นเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษให้นายสอนจึงไม่น่าเชื่อถือและไม่อาจรับฟังหักล้างพยานโจทก์ได้ พยานหลักฐานของโจทก์รับฟังได้หนักแน่นว่าจำเลยเรียกเงินจากโจทก์เป็นการตอบแทนในการที่จะจูงใจเจ้าพนักงานโดยวิธีอันทุจริตหรือผิดกฎหมายให้กระทำการในหน้าที่อันเป็นคุณแก่โจทก์ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143 ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายว่ามีเหตุกำหนดโทษสถานเบาหรือรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยหรือไม่ เห็นว่า การกระทำของจำเลยนอกจากจะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมไทยว่ามีการทุจริตแล้ว ยังกระทบกระเทือนความน่าเชื่อถือของสถาบันพระมหากษัตริย์ การกระทำของจำเลยเป็นความผิดร้ายแรง ไม่ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะกำหนดโทษให้เบากว่านี้และไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน