เมียบอกลูกสาวว่า “ไอ้คนนี้ถ้าคลำไม่มีหางมันเอาหมด” สามีจะเอามาอ้างเพื่อ “ฟ้องหย่า” ไม่ได้

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3563/2548

โจทก์มีพฤติการณ์ส่อว่าจะมีความสัมพันธ์ทางชู้สาวกับผู้หญิงอื่น จำเลยหึงหวงเป็นเหตุให้ทะเลาะกันมาโดยตลอด ณ. พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกับโจทก์เคยมาขอยืมเงินโจทก์ไปแล้วยังใช้คืนไม่หมด ต่อมา ณ. ขอให้โจทก์นำที่ดินไปจดทะเบียนจำนองเพื่อนำเงินกู้มาเป็นค่าใช้จ่ายเดินทางไปทำงานต่างประเทศอีก แต่จำเลยไม่ยอมลงชื่อให้ความยินยอมในการจดทะเบียนจำนอง จึงเกิดทะเลาะกัน โจทก์จำเลยเขียนบันทึกโต้ตอบกันโดยโจทก์ด่าจำเลยก่อนว่าโจทก์กับจำเลยเป็นบุคคลคนละชั้นกัน จำเลยจึงลำเลิกบุญคุณด่ากลับทำนองว่าโดยเลี้ยงดูส่งเสียโจทก์มาก่อน การที่จำเลยพูดห้ามบุตรสาวจำเลยไม่ให้เข้าใกล้โจทก์และว่าไอ้คนนี้ถ้าคลำไม่มีหางมันเอาหมดนั้น เป็นการกระทำไปโดยเจตนาเตือนให้บุตรสาวระมัดระวังตัวไว้ เพียงแต่ใช้ถ้อยคำอันไม่สมควรเยี่ยงมารดาทั่วไปเท่านั้น นอกจากนี้ การที่จำเลยพูดว่าทำนองเหยียดหยามโจทก์และมารดาโจทก์เกิดจากโจทก์และมารดาโจทก์มีส่วนร่วมก่อให้จำเลยกระทำการดังกล่าวอยู่มาก จึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยเหยียดหยามโจทก์และมารดาโจทก์อย่างร้ายแรงอันโจทก์จะอ้างเป็นเหตุฟ้องหย่าได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516 (3)

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยจดทะเบียนสมรสกัน อยู่กินมีบุตรด้วยกัน 2 คน ในระหว่างอยู่กินด้วยกันจำเลยหมิ่นประมาทและดูหมิ่นเหยียดหยามโจทก์ ไม่เคารพนับถือบุพการีและญาติพี่น้องของโจทก์ ดื่มสุราเป็นอาจิณ โดยหมิ่นประมาทโจทก์ว่าติดเชื้อโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง เป็นชู้กับบุตรสาวและหลานสาวของโจทก์ ซึ่งพฤติการณ์ดังกล่าวของจำเลยมีมานานกว่า 20 ปี และต่อเนื่องลักษณะเดียวกันมาตลอด อันเป็นการจงใจหมิ่นประมาทโจทก์และดูหมิ่นเหยียดหยามโจทก์อย่างร้ายแรงหลายครั้งหลายหน โจทก์ไม่ประสงค์จะอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยากับจำเลย ขอให้พิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน ให้บุตรทั้งสองอยู่ในความปกครองของโจทก์

จำเลยให้การว่า โจทก์พยายามหาเหตุด่าว่ากล่าวและดูถูกเหยียดหยามจำเลย จึงเกิดเหตุทะเลาะกันโดยโจทก์เป็นผู้ก่อเหตุ จำเลยไม่เคยดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทโจทก์ บิดามารดาและญาติพี่น้องโจทก์ตามฟ้อง บิดามารดาและญาติพี่น้องโจทก์ไม่ชอบจำเลย ยุแหย่ให้โจทก์เลิกกับจำเลย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องหย่า เพราะจำเลยไม่ประพฤติชั่วจนโจทก์ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 5 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า “…ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์รู้จักจำเลยตั้งแต่จำเลยอายุ 18 ปี โดยจำเลยทำงานเป็นนักร้อง ส่วนโจทก์เป็นพนักงานรับจ้างอยู่ที่ห้องอาหารร้านเดียวกัน ต่อมาอยู่กินฉันสามีภริยานานประมาณ 5 ปี ช่วงนั้นโจทก์จำเลยต่างดื่มสุรา ปี 2521 จึงจดทะเบียนสมรสกันและโจทก์สอบเข้ารับราชการได้ ปี 2524 เริ่มเกิดเหตุทะเลาะกัน โจทก์มีพฤติการณ์ส่อว่าจะมีความสัมพันธ์ทางชู้สาวกับผู้หญิงอื่นนับแต่ปี 2524 จำเลยหึงหวงเป็นเหตุให้ทะเลาะกันมาโดยตลอด ข้อเท็จจริงได้ความด้วยว่านายณรงค์ศักดิ์หรือบุญเป็ง ทองหล่อ พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกับโจทก์เคยมาขอยืมเงินโจทก์ไป 20,000 บาท แล้วยังใช้คืนไม่หมด ต่อมานายณรงค์ศักดิ์ขอให้โจทก์นำที่ดินไปจดทะเบียนจำนองที่สถาบันการเงินเพื่อนำเงินกู้มาเป็นค่าใช้จ่ายเดินทางไปทำงานต่างประเทศอีก จำเลยไม่ยอมลงชื่อให้ความยินยอมในการจดทะเบียนจำนอง จึงเกิดทะเลาะกัน จำเลยเขียนบันทึกวางบนโต๊ะทำงานในบ้าน โจทก์กลับมาบ้านได้พบ อ่านแล้วเขียนข้อความโต้ตอบ ต่อมาโจทก์จึงขนของแยกไปพักอาศัยที่บ้านพักข้าราชการ เมื่อพิจารณาข้อความที่จำเลยเขียนขึ้นแล้ว เห็นได้ว่า โจทก์ด่าว่าจำเลยก่อนว่า โจทก์กับจำเลยเป็นบุคคลคนละชั้นกัน จำเลยจึงลำเลิกบุญคุณด่ากลับทำนองว่าเคยเลี้ยงดูส่งเสียโจทก์มาก่อน จำเลยทำคุณกับโจทก์ไม่ขึ้น ทำดีมานาน 30 ปี แล้วไม่ได้ดี ข้อที่จำเลยพูดห้ามนางพิชามญชุ์ไม่ให้เข้าใกล้โจทก์และว่าไอ้คนนี้ถ้าคลำไม่มีหางมันเอาหมด ก็สืบเนื่องมาจากโจทก์เดินกอดคอนางสาวพิชามญชุ์ซึ่งขณะนั้นอายุ 14 ปี ซึ่งย่างเข้าสู่วัยสาวแล้วเดินไปตามถนนในหมู่บ้านโดยที่โจทก์มีพฤติกรรมดังกล่าว การที่จำเลยพูดถ้อยคำดังกล่าวน่าจะกระทำไปโดยเจตนาเตือนให้บุตรสาวระมัดระวังตัวไว้ เพียงแต่ใช้ถ้อยคำอันไม่สมควรเยี่ยงมารดาทั่วไปเท่านั้น ส่วนเรื่องดูหมิ่นเหยียดหยามมารดาโจทก์นั้น บิดามารดาโจทก์ไม่อยากได้จำเลยเป็นลูกสะใภ้ เพราะจำเลยเป็นนักร้องทำงานกลางคืนทำให้โจทก์เสื่อมเสีย เมื่อมาที่บ้านก็บอกให้เลิกยุ่งกับโจทก์จึงทะเลาะกัน จำเลยเคยบอกพยานขอหย่าให้มารดาโจทก์มาพักที่บ้านจำเลยอีก เพราะมาทีไรก็ทำให้โจทก์จำเลยทะเลาะกัน การที่จำเลยพูดว่าทำนองเหยียดหยามโจทก์และมารดาโจทก์จึงน่าจะเกิดจากโจทก์และมารดาโจทก์มีส่วนร่วมก่อให้จำเลยกระทำการดังกล่าวอยู่มาก เรื่องที่โจทก์จำเลยทะเลาะกันเป็นเรื่องปกติธรรมดาของสามีภริยาที่อยู่ด้วยกัน ข้อเท็จจริงจึงยังฟังไม่ได้โดยถนัดว่าจำเลยเหยียดหยามโจทก์และมารดาโจทก์อย่างร้ายแรงอันโจทก์จะอ้างเป็นเหตุหย่าได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (3)”

พิพากษายืน