ยิงปืนอานุภาพร้ายแรง ใส่ขอบหน้าต่าง “ผิดพยายามฆ่า” เพราะกระสุนร้ายแรงอาจแฉลบโดยคนได้

ประมวลกฎหมายอาญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5505/2559

การที่จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งมีสภาพร้ายแรงยิงเข้าไปที่ขอบหน้าต่างด้านบนของห้องของบ้านเกิดเหตุ โดยที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าเมื่อกระสุนปืนกระทบขอบหน้าต่างแล้วจะหักเหไปในทิศทางใด จำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่ากระสุนปืนอาจแฉลบไปถูกผู้ที่อยู่ภายในห้องถึงแก่ชีวิตได้ จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 59, 80, 91, 92, 288, 362, 364, 365, 371, 376 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 4, 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ริบของกลาง เพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมาย และนับโทษจำเลยคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญา หมายเลขดำที่ 2177/2556 และ 484/2557 ของศาลชั้นต้น

จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษและนับโทษต่อ

ระหว่างพิจารณา นายเอนก ผู้เสียหายที่ 1 ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตเฉพาะข้อหาบุกรุกเคหสถานกับข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่นและโจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 38,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันกระทำละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วม

จำเลยให้การในคดีส่วนแพ่งว่า จำเลยมิได้กระทำความผิดตามฟ้องโจทก์จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามคำร้อง ขอให้ยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 365 (2) (3) ประกอบมาตรา 364, 371, 376 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นกับฐานบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืนโดยมีอาวุธ และฐานยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมืองหรือหมู่บ้าน เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานพยายามฆ่าผู้อื่นซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 10 ปี ฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 6 เดือน ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน เพิ่มโทษกระทงละหนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เป็นจำคุกฐานพยายามฆ่าผู้อื่น 13 ปี 4 เดือน ฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต 8 เดือน ฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต 8 เดือน รวมจำคุก 13 ปี 20 เดือน นับโทษจำคุกคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1721/2557 และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1600/2557 ของศาลชั้นต้น ริบปลอกกระสุนปืน 2 ปลอก และหัวกระสุนปืน 1 หัว ของกลาง และให้จำเลยชำระค่าเสียหาย 8,500 บาท แก่โจทก์ร่วม พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันทำละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วม สำหรับค่าฤชาธรรมเนียมคดีส่วนแพ่งโจทก์ร่วมได้รับยกเว้นจึงไม่กำหนดให้ ส่วนค่าทนายความให้จำเลยใช้แทนโจทก์ร่วมเป็นเงิน 3,000 บาท

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับข้อหาพยายามฆ่าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 ส่วนความผิดฐานบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืน โดยมีอาวุธกับฐานยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมืองหรือหมู่บ้าน ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 (2)(3) ประกอบมาตรา 364 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามมาตรา 90 ให้จำคุกจำเลย 2 ปี เพิ่มโทษหนึ่งในสามตามมาตรา 92 เป็นจำคุก 2 ปี 8 เดือน เมื่อรวมกับโทษฐานมีอาวุธปืนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต กระทงละ 8 เดือน ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว เป็นจำคุกจำเลย 2 ปี 24 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่าจำเลยอยู่กินฉันสามีภริยากับนางสาวนิรัชภรณ์ บุตรสาวโจทก์ร่วม เมื่อนางสาวนิรัชภรณ์มีเรื่องทะเลาะกับจำเลย จะหนีกลับมาพักที่บ้านโจทก์ร่วมที่เกิดเหตุ จำเลยจะมาตามนางสาวนิรัชภรณ์ให้กลับไปอยู่กินกับจำเลยหลายครั้ง หากนางสาวนิรัชภรณ์ไม่ยินยอมจำเลยจะใช้วิธีข่มขู่ให้นางสาวนิรัชภรณ์ออกมาพูดคุยกับจำเลย วันที่ 10 ธันวาคม 2556 นางสาวนิรัชภรณ์มีเรื่องทะเลาะกับจำเลยและหนีกลับมาพักที่บ้านเกิดเหตุ คืนเกิดเหตุวันที่13 ธันวาคม 2556 เวลาประมาณ 3 นาฬิกา จำเลยมาที่บ้านเกิดเหตุใช้อาวุธปืนยิงที่บริเวณหน้าบ้าน 3 นัด หลังจากนั้นจึงเปิดประตูรั้วเข้าไปในบริเวณบ้านใช้อาวุธปืนยิงใส่บ้านเกิดเหตุบริเวณห้องนอนชั้นล่างของนางสำริด ผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นพี่สาวภริยาโจทก์ร่วม 1 นัด ขณะนั้นผู้เสียหายที่ 2 บุตรชายผู้เสียหายที่ 2 และนางสาวนิรัชภรณ์อยู่ภายในห้องนอนดังกล่าว กระสุนปืนถูกบานหน้าต่างด้านบนทะลุไปฝังอยู่ในกำแพงหน้าห้องน้ำ สำหรับความผิดฐานอื่นไม่มีคู่ความฎีกาจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมว่า จำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงไปที่ขอบหน้าต่างด้านบนสูงจากพื้นประมาณ 191 เซนติเมตร ขณะที่จำเลยสูงประมาณ 182 เซนติเมตร แม้จำเลยจะยืนบนเก้าอี้สูงประมาณ 20 เซนติเมตร ตามที่โจทก์ร่วมเบิกความ แต่ระดับแขนของจำเลยจะต้องอยู่ต่ำลงมา ลักษณะการยิงจึงน่าเชื่อว่าอยู่ในมุมเงย แม้จำเลยไม่เคยแสดงท่าทีว่าจะทำอันตรายต่อชีวิตบุคคลใดในบ้านเกิดเหตุตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัย แต่ได้ความจากคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกศุภชัย ผู้ตรวจร่องรอยวิถีกระสุนปืนที่บ้านเกิดเหตุ และเป็นผู้ตรวจลูกกระสุนปืนออโตเมติกทองแดงหุ้มตะกั่ว ขนาด 9 มม. รูเกอร์ 1 ลูก และปลอกกระสุนปืนออโตเมติก ขนาด 9 มม. รูเกอร์ 2 ปลอก ว่า ลูกกระสุนปืนและปลอกกระสุนปืนดังกล่าวใช้ยิงจากอาวุธปืนขนาด 9 มม. รูเกอร์ หรือ .38 ซุปเปอร์ ซึ่งสามารถใช้ยิงทำอันตรายต่อชีวิตและวัตถุได้ เมื่อใช้อาวุธปืนทั้งสองชนิดยิงกระทบขอบหน้าต่าง จะไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าลูกกระสุนปืนจะหักเหไปในทิศทางใด สามารถทำอันตรายต่อชีวิตของบุคคลที่อยู่ภายในห้องได้ ซึ่งคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกศุภชัยดังกล่าวสอดคล้องกับการที่รูกระสุนปืนที่ขอบหน้าต่างซึ่งเป็นรูกระสุนปืนเข้าอยู่สูงจากพื้นประมาณ 191 เซนติเมตร หลังจากนั้นกระสุนทะลุเข้าไปในห้องพบรูกระสุนที่บริเวณผนังห้องน้ำอยู่สูงจากพื้นประมาณ 167 เซนติเมตร ซึ่งอยู่ต่ำกว่ารูกระสุนปืนเข้าทั้งๆ ที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงในลักษณะเป็นมุมเงย ดังนั้น การที่จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งมีสภาพร้ายแรงยิงเข้าไปที่ขอบหน้าต่างด้านบนของห้องของบ้านเกิดเหตุ โดยที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าเมื่อกระสุนปืนกระทบขอบหน้าต่างแล้วจะหักเหไปในทิศทางใด จำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่ากระสุนปืนอาจแฉลบไปถูกผู้ที่อยู่ภายในห้องถึงแก่ชีวิตได้ จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องจำเลยในความผิดฐานนี้มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมฟังขึ้น

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น