นาย ก. เห็นนาย ข. ยิง นาย ค. ล้มลงขาดใจตาย เลยเอาดาบไปฟันซ้ำ นาย ก.ผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น

ประมวลกฎหมายอาญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 608/2558

แม้จำเลยจะมิใช่ผู้ลงมือยิงผู้ตายและผู้ตายถึงแก่ความตายแล้วก่อนที่จำเลยจะลงมือใช้ดาบฟัน แต่ตามพฤติการณ์บ่งชี้เจตนาว่า จำเลยก็มีความประสงค์ต่อความตายของผู้ตายเช่นกัน จำเลยเองก็อยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุขณะ ว. ใช้ปืนยิง ซึ่งจำเลยสามารถช่วยเหลือได้ทันที เมื่อจำเลยมีบทบาทสำคัญเป็นผู้ชักนำในการก่อเหตุ จึงเข้าลักษณะเป็นตัวการด้วยกันกับ ว. จำเลยจึงต้องรับเอาผลที่ ว. ยิงผู้ตายเสมือนหนึ่งเป็นการกระทำของจำเลยด้วย จำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น

จำเลยแก้ฎีกาว่า จำเลยมีเจตนาเพียงทำร้ายผู้เสียหายให้ได้รับบาดเจ็บไม่มีเจตนาฆ่า เมื่อศาลชั้นต้นตัดสินว่า จำเลยฟันผู้เสียหายโดยเจตนาฆ่า จำเลยไม่อุทธรณ์ ข้อเท็จจริงในความผิดฐานนี้จึงเป็นอันยุติแล้ว จำเลยไม่มีสิทธิฎีกาในความผิดฐานนี้ ทั้งคำแก้ฎีกาดังกล่าวมีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ต้องทำเป็นคำฟ้องฎีกา จะขอมาในรูปคำแก้ฎีกาไม่ได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83, 91, 288 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 288 ประกอบมาตรา 80, 83 การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกตลอดชีวิต ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก

โจทก์และจำเลยไม่อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นส่งสำนวนมายังศาลอุทธรณ์ภาค 3 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 วรรคสอง

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 ให้จำคุก 10 ปี ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังว่า เวลาประมาณ 22 นาฬิกา ขณะนายสันติชัยหรือโหน่ง ผู้ตาย ขับรถจักรยานยนต์ออกจากซอยเทคโน มุ่งหน้าสู่ถนนชยางกูร ตำบลขามใหญ่ อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีนางสาวเพ็ญพักตร์ คนรักผู้ตายนั่งซ้อนท้าย และมีเด็กชายฉัตรเพชร ผู้เสียหาย ซึ่งเป็นน้องนางสาวเพ็ญพักตร์นั่งด้านหน้าผู้ตาย มีกลุ่มรถจักรยานยนต์ประมาณ 10 คัน ตามหลังด้วยรถยนต์กระบะ 1 คัน แล่นสวนทางมา สักครู่กลุ่มรถจักรยานยนต์และรถยนต์กระบะเลี้ยวรถกลับมาโดยรถจักรยานยนต์คันที่นายวสันต์หรือโก๋ จำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 917/2548 ของศาลชั้นต้นนั่งซ้อนท้ายติดตามเข้าไปประกบทางด้านขวาของรถที่ผู้ตายขับ แล้วนายวสันต์ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายเป็นเหตุให้รถจักรยานยนต์ล้มลงและทับผู้ตาย ซึ่งนอนคว่ำหน้าอยู่บนถนน จากนั้นรถจักรยานยนต์คันที่นายวสันต์นั่งซ้อนท้ายรวมทั้งกลุ่มรถจักรยานยนต์ขับผ่านไป ผู้เสียหายและนางสาวเพ็ญพักตร์คลานออกจากรถไปที่หน้าร้านซักรีดข้างทาง ส่วนรถยนต์กระบะที่มากับกลุ่มรถจักรยานยนต์ก่อเหตุได้หยุดจอดบริเวณที่ผู้ตายนอนอยู่ แล้วจำเลยกับชายอีกคนหนึ่งกระโดดลงจากรถ จากนั้นจำเลยใช้มีดสปาต้าฟันผู้ตาย แล้ววิ่งเข้าไปฟันผู้เสียหาย ผู้เสียหายยกแขนขึ้นรับคมมีดไว้ได้และแขนไปกระแทกกับประตูเหล็กเลื่อนหน้าร้าน จำเลยกับพวกจึงวิ่งขึ้นรถยนต์กระบะหลบหนีไปทางเดียวกับกลุ่มรถจักรยานยนต์ ผู้ตายถูกกระสุนปืนที่ด้านหลังหูขวาถึงแก่ความตายในที่เกิดเหตุ ส่วนผู้เสียหายได้รับบาดแผลถูกยิงบริเวณใต้ไหล่ซ้าย และได้รับบาดแผลขนาด 4 เซนติเมตร ที่แขนขวากระดูกหัก

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยร่วมกับนายวสันต์ฆ่าผู้ตายหรือไม่ คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฟังว่า จำเลยใช้มีดฟันร่างผู้ตายขณะผู้ตายถึงแก่ความตายแล้ว จึงไม่เป็นการฆ่าผู้ตาย และทางนำสืบโจทก์ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยและนายวสันต์มีการกระทำอย่างไรอันเข้าลักษณะเป็นตัวการด้วยการในการยิงผู้ตาย จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานฆ่าผู้ตาย เห็นว่า ตามทางนำสืบโจทก์ฟังได้ว่า ทันทีที่กลุ่มนายวสันต์พบเห็นผู้ตายขณะขับรถสวนทางกัน นายวสันต์กับพวกทั้งหมดรวมทั้งจำเลยก็เลี้ยวรถกลับ แล้วรถคันนายวสันต์ออกตัวนำหน้าเข้าไปประกบรถผู้ตายแล้ว ลงมือยิงทันที จากนั้นกลุ่มรถจักรยานยนต์ทั้งหมดขับผ่านไป ส่วนรถยนต์กระบะซึ่งตามหลังมาหยุดจอดบริเวณที่เกิดเหตุ แล้วจำเลยกระโดดลงจากรถเข้าไปฟันผู้ตายทันที จึงเสมือนหนึ่งจำเลยสมใจที่ได้ชำระแค้นด้วยตนเอง เป็นความเคลื่อนไหวที่บ่งบอกว่าในคืนเกิดเหตุนายวสันต์และจำเลยได้รวมกลุ่มกันขับรถออกตามหาคู่อริเพื่อทำร้าย เมื่อสืบค้นเบื้องหลังการรวมตัวก่อเหตุในคดีนี้พบข้อเท็จจริงบางส่วนจากคำเบิกความพยานโจทก์ปากนางสาวเพ็ญพักตร์ตอบทนายจำเลยว่า ก่อนเกิดเหตุเพื่อนในกลุ่มผู้ตายมีเรื่องชกต่อยกับเพื่อนในกลุ่มจำเลยและโจทก์มีดาบตำรวจนิรันดร์ ผู้สืบสวนและจับกุมจำเลยเบิกความในรายละเอียดว่า พยานได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาและได้สืบสวนหาตัวผู้ก่อเหตุในคืนเกิดเหตุ จากการสืบสวนทราบว่ากลุ่มวัยรุ่นที่ก่อเหตุมีนายโก๋ นายกล้าและจำเลย โดยมีจำเลยเป็นหัวหน้ากลุ่ม ส่วนกลุ่มของผู้ตายมีนายตั้มและนายยุ่งเป็นหัวหน้ากลุ่ม ก่อนเกิดเหตุประมาณ 1 สัปดาห์ กลุ่มผู้ตายและกลุ่มจำเลยมีเรื่องชกต่อยกันด้วยสาเหตุผู้หญิงและหลังเกิดเหตุวิวาทกันทั้งสองกลุ่มได้เตรียมกำลังคนเพื่อตะลุมบอนกัน พยานได้บันทึกรายละเอียดการสืบสวนเสนอผู้บังคับบัญชาและเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า แหล่งข้อมูลการสืบสวนได้จากการสอบปากคำนางสาวเพ็ญพักตร์ นอกจากนี้ตามคำให้การเป็นพยานในชั้นสอบสวนของนายสัญญาระบุว่า จำเลย นายโก๋ นายกล้าและพวกประมาณ 16 คน เดินทางมาที่บ้านพยานโดยรถจักรยานยนต์ 8 คัน รถยนต์กระบะ 1 คัน จากนั้นจำเลยกับพวกชักชวนพยานออกไปหานายยุ่งและนายตั้มคู่อริ ซึ่งมีเรื่องโกรธเคืองชกต่อยกันเพื่อแก้แค้นและตามคำให้การชั้นสอบสวนของนายวีระชาติ ในฐานะผู้ต้องหาระบุว่า ก่อนเกิดเหตุกลุ่มผู้ตายท้าชกต่อยตัวต่อตัวกับคนในกลุ่มจำเลย เมื่อชกต่อยกันมีเจ้าพนักงานตำรวจมาจึงแยกย้ายพากันหลบหนีไป ต่อมาจำเลยมาหาพยานที่บ้านพูดว่า เหตุที่เกิดขึ้นจะไม่ยอมกันง่าย ๆ จะไปตามพี่ชายและเพื่อน ๆ ที่ศาลเจ้าอุบลมาแก้แค้นให้ได้ ซึ่งมีนายโก๋หรือวสันต์และนายกล้ารวมอยู่ด้วย เห็นได้ว่าจำเลยเป็นต้นคิดในการระดมกำลังคนไปก่อเหตุวิวาทกับกลุ่มนายยุ่งและนายตั้ม คืนเกิดเหตุระหว่างเดินทางตามหากลุ่มคู่อริ ได้พบผู้ตายซึ่งเป็นคนในกลุ่มคู่อริ กลุ่มจำเลยโดยนายวสันต์หรือโก๋ก็ลงมือยิงทันที จากนั้นจำเลยซึ่งเตรียมอาวุธมีดสปาต้ามาด้วย ก็กระโดดลงจากรถฟันผู้ตายทันทีขณะผู้ตายนอนคว่ำหน้าแน่นิ่งอยู่กับพื้น แล้วตรงเข้าไปฟันผู้เสียหายจนเกิดเสียงดังที่ประตูหน้าร้านจำเลยกับพวกจึงขึ้นรถหลบหนีไป กรณีจึงไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นในทันทีทันใด แต่เป็นการคบคิดกันมาก่อนกับนายวสันต์โดยมีเจตนาจะไปก่อเหตุทำร้ายกลุ่มผู้ตาย แม้จำเลยจะมิใช่ผู้ลงมือยิงผู้ตายและผู้ตายถึงแก่ความตายแล้วก่อนที่จำเลยจะลงมือใช้ดาบฟัน แต่ตามพฤติการณ์บ่งชี้เจตนาว่า จำเลยก็มีความประสงค์ต่อความตายของผู้ตายเช่นกัน จำเลยเองก็อยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุขณะนายวสันต์ใช้ปืนยิง ซึ่งจำเลยสามารถช่วยเหลือได้ทันที เมื่อจำเลยมีบทบาทสำคัญเป็นผู้ชักนำในการก่อเหตุ จึงเข้าลักษณะเป็นตัวการด้วยกันกับนายวสันต์ จำเลยจึงต้องรับเอาผลที่นายวสันต์ยิงผู้ตายเสมือนหนึ่งเป็นการกระทำของจำเลยด้วย จำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ยกฟ้องโจทก์ในข้อหานี้มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น

จำเลยแก้ฎีกาว่า จำเลยมีเจตนาเพียงทำร้ายผู้เสียหายให้ได้รับบาดเจ็บไม่มีเจตนาฆ่านั้น เห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นตัดสินว่าจำเลยฟันผู้เสียหายโดยเจตนาฆ่า จำเลยไม่อุทธรณ์ ข้อเท็จจริงในความผิดฐานนี้จึงเป็นอันยุติแล้ว จำเลยไม่มีสิทธิฎีกาในความผิดฐานนี้ ทั้งคำแก้ฎีกาดังกล่าวมีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ต้องทำเป็นคำฟ้องฎีกา จะขอมาในรูปคำแก้ฎีกาไม่ได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นด้วยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 83 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 เว้นแต่ในส่วนโทษให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น