คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1780/2546
คำพูดของจำเลยที่พูดกับ ป. ซึ่งสอบถามจำเลยและให้จำเลยติดต่อโจทก์มาศาลว่า “ไม่ว่าจ้างทนายแดงแล้ว ทนายแดงชอบฮั้วคดี ไม่สนใจติดตามคดี” สืบเนื่องมาจากโจทก์ได้รับมอบหมายจากจำเลยให้ดำเนินคดีกับ น. ข้อหาฉ้อโกง จำเลยชำระค่าจ้างว่าความแล้ว แต่โจทก์ยังไม่ได้ฟ้องคดี นอกจากนี้ในคดีที่ ณ. สามีของจำเลยแต่งตั้งโจทก์เป็นทนายความฟ้อง ส. แต่ ณ. และจำเลยมิได้ลงลายมือชื่อในช่องผู้มอบอำนาจและผู้รับมอบอำนาจจนศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดี ทั้งสองกรณีข้างต้นทำให้จำเลยเชื่อว่าโจทก์ไม่สนใจในการดำเนินคดี บกพร่องต่อหน้าที่ ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย และผู้ที่จำเลยประสงค์จะฟ้องได้รับประโยชน์ไม่ต้องถูกดำเนินคดี การกระทำของจำเลยเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 329(1) จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีอาชีพทนายความและได้รับแต่งตั้งจากจำเลยให้เป็นทนายความหลายคดี เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2542 เวลากลางวัน จำเลยพูดใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สามว่า ไม่จ้างแล้วทนายแดง (ซึ่งหมายถึงโจทก์) ถอนจากการเป็นทนายแล้ว เอาได้ยังไงทนายฮั้วกัน ไม่สนใจติดตามคดี ซึ่งหมายถึงโจทก์มีพฤติการณ์สมรู้ร่วมคิดกับบุคคลหรือทนายความคนอื่นดำเนินกระบวนพิจารณาคดีโดยไม่สุจริตไม่สนใจติดตามคดีให้จำเลย ซึ่งไม่เป็นความจริง ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชังขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และให้จำเลยประกาศชี้แจงข้อความจริงและขอโทษขออภัยโจทก์ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ มติชน เดลินิวส์ และหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นในจังหวัดเลยอีกอย่างน้อย 2 ฉบับ เป็นเวลา 15 วัน ติดต่อกัน และให้จำเลยทำหนังสือแจ้งต่อสภาทนายความซึ่งข้อเท็จจริงและคำขอโทษขออภัยโจทก์ภายใน 15 วัน นับแต่วันพิพากษา และให้จำเลยประกาศโฆษณาทางสถานีวิทยุท้องถิ่นชี้แจงความจริงและขอโทษขออภัยโจทก์เป็นเวลา 15 วัน ติดต่อกันอย่างน้อยวันละ 15นาที โดยให้จำเลยเสียค่าใช้จ่ายเองทั้งสิ้น
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังยุติว่า โจทก์มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าทนายแดง จำเลยว่าจ้างโจทก์ว่าความในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 997/2541 หมายเลขแดงที่ 727/2542 ของศาลชั้นต้น และคดีอื่นอีก 3 คดี ต่อมาจำเลยถอนโจทก์จากการเป็นทนายความทุกคดี สำหรับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 997/2541 หมายเลขแดงที่ 727/2542นั้น ศาลชั้นต้นนัดพิจารณาวันที่ 18 สิงหาคม 2542 เวลา 23.30 นาฬิกา จำเลยไปศาลกับทนายความที่แต่งตั้งใหม่ นายประสงค์ ไชยยันโต ทนายความฝ่ายตรงข้ามในคดีดังกล่าวสอบถามจำเลย และให้จำเลยติดต่อโจทก์ให้มาศาลจำเลยพูดกับนายประสงค์ว่า “ไม่ว่าจ้างทนายแดงแล้ว ทนายแดงชอบฮั้วคดีไม่สนใจติดตามคดี” ก่อนนั้นคือวันที่9 กรกฎาคม 2542 จำเลยได้ยื่นคำกล่าวหาโจทก์ต่อสภาทนายความตามสำเนาคำกล่าวหาเอกสารหมาย ล.6 และวันที่ 12 สิงหาคม 2542 นายณัฐ สุธาบัณฑิตพงศ์ และจำเลยแจ้งความร้องทุกข์กล่าวหาโจทก์ว่าปลอมเอกสารหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีตามสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย ล.9 ต่อมาวันที่ 14 กันยายน 2542จำเลยแจ้งความร้องทุกข์ว่า จำเลยไม่ได้แต่งตั้งนายชาญวิทย์ แก้วผ่าน เป็นทนายความในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 997/2541 หมายเลขแดงที่ 727/2542 แต่ปรากฏว่าในสำนวนมีใบแต่งทนายความว่าจำเลยแต่งตั้งนายชาญวิทย์เป็นทนายความ จำเลยมิได้ลงชื่อในใบแต่งทนายความดังกล่าวตามสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย ล.4
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คำพูดของจำเลยที่พูดกับนายประสงค์ไชยยันโต ซึ่งสอบถามจำเลยและให้จำเลยติดต่อ โจทก์มาศาลว่า “ไม่ว่าจ้างทนายแดงแล้ว ทนายแดงชอบฮั้วคดี ไม่สนใจติดตามคดี” เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรมป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรมหรือไม่โจทก์มีตัวโจทก์เบิกความเป็นพยานตอบทนายจำเลยถามค้านว่า โจทก์ได้รับมอบหมายจากจำเลยให้ดำเนินคดีกับนายนิพนธ์ ภู่ระย้า ในข้อหาฉ้อโกง จำเลยชำระค่าจ้างว่าความแล้ว 15,000 บาท แต่โจทก์ยังไม่ได้ฟ้องคดี ได้ความจากเอกสารหมาย ล.5 ว่าโจทก์รับเงินค่าจ้างว่าความไปแล้วเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2541 จนกระทั่งวันที่ 14กันยายน 2542 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยทวงเงินค่าจ้างว่าความคืน โจทก์ก็ยังไม่ได้ฟ้องนายนิพนธ์ ซึ่งหากจำเลยให้โจทก์ชะลอการฟ้องนายนิพนธ์ไว้ดังโจทก์อ้าง จำเลยคงไม่ทวงถามค่าจ้างว่าความคืนจากโจทก์ นอกจากนี้ในคดีที่นายณัฐ สุธาบัณฑิตพงศ์สามีของจำเลยแต่งตั้งโจทก์เป็นทนายความฟ้องนายสุรพล เครือภักดี โจทก์บรรยายฟ้องว่านายณัฐมอบอำนาจให้จำเลยดำเนินคดีแทนแต่นายณัฐและจำเลยมิได้ลงลายมือชื่อในช่องผู้มอบอำนาจและผู้รับมอบอำนาจ จนศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดี ทั้งสองกรณีที่กล่าวมาข้างต้นทำให้จำเลยเชื่อว่าโจทก์ไม่สนใจในการดำเนินคดีบกพร่องต่อหน้าที่ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย และผู้ที่จำเลยประสงค์จะฟ้องได้รับประโยชน์ไม่ต้องถูกดำเนินคดี แม้เรื่องดังกล่าวยังไม่มีการวินิจฉัยเป็นที่สุดก็ตาม แต่พฤติการณ์ที่กล่าวมาย่อมทำให้จำเลยเข้าใจเช่นนั้นได้ การกระทำของจำเลยเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329(1) จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายกฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน