คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5770/2548
ช. เดินทางออกจากบ้านโดยใช้รถยนต์กระบะ แล้วสูญหายไป ภายหลังพนักงานของบริษัทพบรถยนต์กระบะที่ ช. เช่าซื้อไปจอดอยู่ที่ด่านทางออกไปสหภาพพม่าจึงยึดรถยนต์กลับคืนมา การที่พบรถยนต์ซึ่งเป็นยานพาหนะที่ใช้เดินทาง จึงมิใช่ยานพาหนะที่ ช. เดินทางสูญหาย อันจะเข้าหลักเกณฑ์ระยะเวลา 2 ปี ที่จะต้องขอให้เป็นคนสาบสูญตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 61 วรรคสอง แต่เป็นกรณีที่จะต้องใช้หลักเกณฑ์ระยะเวลา 5 ปี ตามมาตรา 61 วรรคหนึ่ง
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ผู้ร้องเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายชอบ เรืองขจร เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2543 นายชอบได้ออกจากบ้านเลขที่ ตำบลรางหวาย อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี โดยขับรถยนต์กระบะคันหมายเลขทะเบียน ฃฃเป็นยานพาหนะเพื่อไปทำธุระ หลังจากนั้นทั้งนายชอบและรถยนต์อันเป็นพาหนะที่นายชอบขับได้สูญหายไปต่อมาเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2543 ผู้ร้องได้ฟังข่าวทางวิทยุว่ามีผู้พบศพถูกเผาอยู่ที่ตำบลหนองรี อำเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี ผู้ร้องกับญาติของนายชอบจึงไปดูศพชายดังกล่าว ผู้ร้องจำใบหน้าและเท้าของนายชอบได้และยืนยันต่อเจ้าหน้าที่ว่าเป็นศพของนายชอบ เจ้าหน้าได้นำศพดังกล่าวไปตรวจสอบที่สถานบันนิติเวชผลการตรวจไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าผู้ตายเป็นใคร เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนก็ไม่ทราบว่าผู้ตายและผู้กระทำความผิดเป็นใคร พนักงานสอบสวนจึงมีความเห็นงดสอบสวนและเจ้าหน้าที่ไม่ยืนยันว่าผู้ตายคือนายชอบ ทั้งไม่ยอมออกมรณบัตรให้จนถึงบัดนี้ล่วงเลยมาเป็นเวลา 2 ปี แล้ว นายชอบก็ยังไม่กลับมาบ้าน ส่วนรถยนต์ที่นายชอบขับ ภายหลังพนักงานบริษัทพบรถยนต์กระบะที่นายชอบเช่าซื้อไปจอดอยู่ที่ด่านทางออกไปสหภาพพม่าจึงยึดรถกลับคืนมา โดยไม่พบนายชอบเป็นผู้ขับ แต่พบผู้อื่นเป็นชายไม่ทราบชื่อแจ้งว่านายชอบให้ขับรถคันดังกล่าวไป ผู้ร้องกับญาติเข้าใจว่านายชอบถูกฆ่าแล้วนำศพไปเผา ก่อนที่นายชอบจะหายไป นายชอบทำงานเป็นลูกจ้างประจำ สังกัดแขวงการทางสุพรรณบุรีที่ 2 สำนักทางหลวงที่ 10 กรมทางหลวง เมื่อนายชอบหายไป ผู้บังคับบัญชาของนายชอบทำการสืบสวนแล้ว เห็นว่า นายชอบขาดราชการเกิน 15 วัน โดยไม่มีเหตุอันสมควร อันเป็นการผิดวินินัยอย่างร้ายแรง จึงมีคำสั่งลงโทษให้ไล่นายชอบออกจากราชการนางงาม เรืองขจร มารดาของนายชอบได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว การที่นายชอบถูกไล่ออกทำให้นายชอบไม่ได้รับบำเหน็จจากทางราชการ ซึ่งผู้ร้องมีส่วนได้เสียในเงินบำเหน็จดังกล่าว ผู้ร้องจึงมีความจำเป็นต้องมายื่นคำร้อง เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งว่านายชอบเป็นคนสาบสูญและนำคำสั่งศาลไปแจ้งต่อกระทรวงคมนาคมให้เปลี่ยนแปลงคำสั่งไล่นายชอบออกจากราชการต่อไป
ศาลชั้นต้นตรวจคำร้องขอแล้วมีคำสั่งว่า ตามคำร้องขอนายชอบออกไปจากภูมิลำเนานับถึงวันที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอยังไม่ครบ 5 ปี ตามกฎหมายและกรณีไม่เข้าข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 61 จึงไม่รับคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า การที่นายชอบ เรืองขจร ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่เป็นเวลา 2 ปีเศษ ตามคำร้องขอ เข้าหลักเกณฑ์ที่จะขอให้ศาลสั่งเป็นบุคคลสาบสูญหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังเป็นที่ยุติตามคำร้องขอของผู้ร้องว่านายชอบได้เดินทางออกจากบ้านโดยใช้รถยนต์กระบะ แล้วนายชอบและรถยนต์ดังกล่าวสูญหายไป ภายหลังพนักงานของบริษัทพบรถยนต์กระบะที่นายชอบเช่าซื้อไปจอดที่ด่านทางออกไปสหภาพพม่าจึงยึดรถยนต์กลับคืนมา เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าพบรถยนต์ซึ่งเป็นยานพาหนะที่นายชอบให้เดินทาง กรณีจึงมิใช่ยานพาหนะที่นายชอบเดินทางสูญหาย อันจะเข้าหลักเกณฑ์ระยะเวลา 2 ปี ที่จะร้องขอให้นายชอบเป็นคนสาบสูญตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 61 ววรคสอง แต่เป็นกรณีที่จะต้องใช้หลักเกณฑ์ระยะเวลา 5 ปี ตามมาตรา 61 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นไม่รับคำร้องของผู้ร้องชอบแล้ว ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำร้อง แต่ไม่ได้สั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมและศาลอุทธรณ์ภาค 7 ก็มิได้แก้ไข ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรสั่งเกี่ยวกับค่าฤชาธรรมเนียมดังกล่าวให้ถูกต้อง”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นฎีกาให้เป็นพับ