ฉาววงการผ้าเหลือง! สามเณรตอกเสาเข็มกุฏิสั่น เผยเตรียมเอาผิดวินัยสงฆ์

เรื่องที่น่าสนใจล่าสุด

ประเด็นร้อนแรงในวงการพระพุทธศาสนาได้ปะทุขึ้นอีกครั้ง เมื่อกรณีสามเณรและพระหนุ่มมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมถูกเผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์ สร้างความสั่นสะเทือนต่อความเชื่อมั่นศรัทธาของพุทธศาสนิกชน ก่อให้เกิดข้อถกเถียงเกี่ยวกับมาตรการป้องกันและการควบคุมพฤติกรรมของผู้ที่อยู่ในร่มกาสาวพัสตร์

ประเด็นอื้อฉาวที่สั่นคลอนความศรัทธา

เรื่องราวเริ่มต้นเมื่อบัญชีผู้ใช้ชื่อ “Red Skull” ได้เผยแพร่ภาพและคลิปวิดีโอของสามเณรวัดดังแห่งหนึ่งในย่านสำเพ็ง มีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง โดยแสดงให้เห็นการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างสามเณรกับพระหนุ่มในวัดเดียวกัน รวมถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมอื่นๆ อาทิ การโพสต์ภาพอวดเรือนร่าง การใช้ภาษาไม่สุภาพ และการส่งต่อภาพลามกอนาจารในกลุ่มแชท

โพสต์ดังกล่าวได้ระบุข้อความกล่าวโทษพฤติกรรมของสามเณรรูปนี้อย่างรุนแรง โดยเฉพาะการประพฤติตนไม่เหมาะสมกับสมณเพศ “ขอร้องเรียนตีแผ่เรื่องนี้อีกชักเรื่อง กะเทยกิริยามารยาทไม่งาม พระผู้ใหญ่ก็หลับหูหลับตาไม่รู้ว่าพิศวาท (รู) หรืออะไร ปล่อยให้สามเณรใต้อาณัตการปกครองกระทำกริยามารยาทต่ำตม โพสต์โชว์เต้าอวดนม ฉีดยาคุมฉ่ำ มิหน่ำซ้ำแชตทักอวดญาติโยมฉ่ำ งงตรรกะมาก”

ผู้โพสต์ยังกล่าวว่าได้มีการร้องเรียนไปหลายครั้งแล้ว แต่ไม่มีการดำเนินการใดๆ เนื่องจากสามเณรรูปดังกล่าวมีพระผู้ใหญ่คอยปกป้อง “แล้วร้องเรียนไปแล้วหลายรอบ เพราะมีพระผู้ใหญ่ช่วย เลยพากันหลับหูหลับตา ทั้งนี้อยากวานสำนักข่าวตีแผ่ กดดัน มารศาสนา ที่ทำตนอุบาทว์ ในบวรพุทธศาสนา ให้พ้นออกไป เพราะรูปและพฤติกรรม มันบ่งบอกไม่มีความสำนึกในกมลสันดาน ไม่สำรวมในผ้าเหลือง”

การตรวจสอบข้อเท็จจริง

ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงที่วัดซึ่งตกเป็นประเด็น และได้สัมภาษณ์พระมหาสุชาติ ผู้ช่วยเจ้าอาวาส ซึ่งเปิดเผยว่าสามเณรรูปดังกล่าวไม่ได้สังกัดอยู่ที่วัดนี้โดยตรง แต่มาจากวัดในต่างจังหวัด และเดินทางมาที่วัดเป็นครั้งคราวเพื่ออุปัฏฐากหลวงพ่อที่อาพาธ

พระมหาสุชาติยอมรับว่าทางวัดเพิ่งทราบเรื่องนี้จากสื่อสังคมออนไลน์ และไม่ทราบว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อใด อย่างไรก็ตาม ท่านยืนยันว่าจะเร่งดำเนินการตามพระธรรมวินัยของสงฆ์และไม่นิ่งนอนใจในการสืบสวนสอบสวนต่อไป ส่วนพระหนุ่มที่ปรากฏในภาพนั้น ทราบว่าขณะนี้ได้เดินทางกลับไปอยู่ที่วัดในต่างจังหวัดแล้ว

พระมหาสุชาติยังได้ให้ข้อแนะนำว่า พระสงฆ์และสามเณรควรอยู่ห่างกัน ไม่ควรมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดจนเกินไป เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่เหมาะสมเช่นนี้อีก

มุมมองจากพระผู้ใหญ่

ผู้สื่อข่าวยังได้สัมภาษณ์พระราชธรรมนิเทศ หรือที่รู้จักกันในนามพระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว ซึ่งเป็นพระผู้ใหญ่ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่เคารพนับถือในสังคมไทย เกี่ยวกับกรณีนี้

พระพยอมแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเป็นจริงตามข่าวถือขวดสุราถ่ายภาพลามกด้วยตัวเองถือว่าเป็นคนอุบาทว์ ไม่ปกติ ไม่มีสมณะสัญญา” ท่านเปรียบเทียบบุคคลเหล่านี้ว่าเป็นเสมือน “ขยะในทะเล” ที่คลื่นมหาชนและคลื่นข่าวต้องช่วยกันขับไล่ ท่านเชื่อว่าเมื่อญาติโยมรับรู้เรื่องนี้ คงไม่มีใครต้องการอุปถัมภ์บำรุงหรือใส่บาตรให้อีกต่อไป และหากเจ้าอาวาสทราบเรื่อง ก็คงไม่ยินยอมให้อยู่ในวัดอีกต่อไปเช่นกัน

พระพยอมให้ความเห็นว่า บุคคลเช่นนี้ไม่สมควรบวชในพระพุทธศาสนา เปรียบเสมือนผู้ที่ “สมองไม่ได้บรรจุปัญญา จุแต่ความเลวทรามเลี้ยงไว้เป็นเสนียดกับทางวัด” และทิ้งท้ายว่าเรื่องวิปริตเช่นนี้มีมานานแล้ว แต่ไม่เคยถูกเผยแพร่ให้สาธารณชนเห็นภาพชัดเจนเช่นในปัจจุบัน ซึ่งสื่อสังคมออนไลน์มีอิทธิพลอย่างมาก และคนที่มีพฤติกรรมเช่นนี้ควรจะไปอยู่ในที่ที่เหมาะสมกับตนเอง

ผลกระทบต่อพระพุทธศาสนา

เหตุการณ์นี้ได้สร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของพระพุทธศาสนาอย่างมาก โดยเฉพาะในยุคที่สื่อสังคมออนไลน์มีอิทธิพลสูง ทำให้ข่าวสารแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง กรณีของสามเณรและพระหนุ่มรูปนี้ไม่เพียงทำให้ประชาชนเกิดความรู้สึกผิดหวังและเสื่อมศรัทธา แต่ยังอาจส่งผลให้เกิดทัศนคติในแง่ลบต่อสถาบันสงฆ์โดยรวม

พุทธศาสนิกชนจำนวนมากรู้สึกเสียใจและผิดหวังกับพฤติกรรมเช่นนี้ เนื่องจากพระสงฆ์และสามเณรควรเป็นแบบอย่างที่ดีในการปฏิบัติตามพระธรรมวินัย การละเมิดศีลอย่างร้ายแรงและเปิดเผย จึงเป็นการทำลายความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อสถาบันศาสนา

แนวทางแก้ไขและป้องกัน

จากกรณีนี้ หลายฝ่ายได้เรียกร้องให้มีมาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นในการคัดกรองผู้ที่จะเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา รวมถึงการติดตามและตรวจสอบพฤติกรรมของพระสงฆ์และสามเณรอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่เหมาะสมซ้ำอีก

ผู้นำทางศาสนาและองค์กรพุทธศาสนาต่างๆ ควรร่วมมือกันในการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับพระธรรมวินัยและการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้องเหมาะสมกับสมณเพศ รวมทั้งการใช้สื่อสังคมออนไลน์อย่างมีสติและรับผิดชอบ

บทสรุป

กรณีอื้อฉาวเกี่ยวกับสามเณรและพระหนุ่มนี้เป็นเครื่องเตือนใจว่าแม้ในสถาบันศาสนาที่ควรเป็นที่พึ่งทางจิตใจของประชาชน ก็อาจมีผู้ที่ไม่ได้ยึดมั่นในพระธรรมวินัยอย่างแท้จริง การตรวจสอบและลงโทษผู้กระทำผิดอย่างเด็ดขาดจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อรักษาความบริสุทธิ์และความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธศาสนา

อย่างไรก็ตาม เราควรแยกแยะระหว่างการกระทำของบุคคลและสถาบันศาสนา พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของพระสงฆ์หรือสามเณรบางรูปไม่ควรทำให้เราเสื่อมศรัทธาในพระพุทธศาสนาโดยรวม แต่ควรทำให้เรามุ่งมั่นที่จะส่งเสริมและสนับสนุนพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เพื่อให้พระพุทธศาสนาดำรงอยู่เป็นที่พึ่งทางจิตใจของพุทธศาสนิกชนสืบไป