วิกฤตหนี้ครัวเรือนและรถจีนบุกตลาด: ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทยไตรมาสแรกปี 2568

เรื่องที่น่าสนใจล่าสุด

อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในไตรมาสแรกของปี 2568 (มกราคม-มีนาคม) ประสบกับภาวะชะลอตัวอย่างมีนัยสำคัญ ท่ามกลางความท้าทายหลายประการทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยตัวเลขการผลิต ยอดขายในประเทศ และการส่งออกรถยนต์ไปยังต่างประเทศ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงสถานการณ์ที่น่าวิตกของวงการยานยนต์ไทย

สถานการณ์การผลิตรถยนต์: ภาพรวมลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2568 ประเทศไทยผลิตรถยนต์ได้ทั้งสิ้น 352,499 คัน ซึ่งลดลงอย่างมากถึง 14.88% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ขณะที่ยอดการผลิตในเดือนมีนาคม 2568 อยู่ที่ 129,909 คัน ลดลง 6.09% เมื่อเทียบกับเดือนมีนาคม 2567 การลดลงนี้มีสาเหตุหลักมาจากการผลิตเพื่อการส่งออกที่ลดลง 9.36% โดยเฉพาะการผลิตรถยนต์นั่งที่ลดลงถึง 51.18% เนื่องจากการเปลี่ยนรุ่นรถยนต์บางรุ่นของผู้ผลิต

น่าสนใจว่า แม้ภาพรวมการผลิตจะลดลง แต่การผลิตรถยนต์นั่งเพื่อจำหน่ายในประเทศกลับเพิ่มขึ้น 35.01% ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าทั้งประเภท BEV (Battery Electric Vehicle) และ PHEV (Plug-in Hybrid Electric Vehicle) อย่างไรก็ตาม การผลิตรถกระบะกลับลดลงอย่างมากถึง 29.32% สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่ลดลงอย่างต่อเนื่องในตลาดรถกระบะ

ตลาดในประเทศ: หนี้ครัวเรือนและเศรษฐกิจโตต่ำถ่วงยอดขาย

ยอดขายรถยนต์ในประเทศไทยช่วงมกราคม-มีนาคม 2568 อยู่ที่ 153,193 คัน ลดลง 6.45% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะในเดือนมีนาคม 2568 มียอดขาย 55,798 คัน ลดลง 0.54% ซึ่งส่วนใหญ่มาจากยอดขายรถกระบะที่ลดลง 7.84%

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้ให้ความเห็นว่า การลดลงของยอดขายรถยนต์ใหม่ในประเทศเป็นผลมาจากหลายปัจจัยสำคัญ ได้แก่:

  1. ความเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อ: สถาบันการเงินมีความระมัดระวังมากขึ้นในการปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อรถยนต์
  2. หนี้ครัวเรือนสูง: สถานการณ์หนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงขึ้นทำให้กำลังซื้อของประชาชนลดลง
  3. เศรษฐกิจเติบโตต่ำ: อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศที่อยู่ในระดับต่ำส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
  4. ค่าครองชีพสูง: ภาวะค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้ประชาชนต้องระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ในท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ ตลาดรถยนต์ไฟฟ้ากลับมีอัตราการเติบโตที่น่าสนใจ โดยรถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าประเภท BEV มียอดขายรวม 22,737 คัน เพิ่มขึ้น 18.85% ส่วนรถยนต์ประเภท PHEV มียอดขายรวม 2,458 คัน เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 336.59% แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้าที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศไทย

ตลาดส่งออก: รถไฟฟ้าจีนและมาตรการคาร์บอนท้าทายการส่งออก

การส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปของไทยในช่วงมกราคม-มีนาคม 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 220,139 คัน ลดลงอย่างมากถึง 18.63% โดยเฉพาะในเดือนมีนาคม 2568 ที่ส่งออกได้ 80,914 คัน ลดลง 14.91% การลดลงนี้มีสาเหตุสำคัญหลายประการ ได้แก่:

  1. การเปลี่ยนรุ่นรถยนต์: มีการเปลี่ยนรุ่นรถยนต์นั่งบางรุ่น ส่งผลให้การผลิตเพื่อส่งออกชะลอตัวลง
  2. มาตรการลดคาร์บอน: หลายประเทศคู่ค้ามีความเข้มงวดมากขึ้นในเรื่องการลดการปล่อยคาร์บอน ทำให้รถยนต์จากไทยที่ยังเป็นรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในเป็นส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบ
  3. การแข่งขันจากรถไฟฟ้าจีน: การเข้ามาของรถยนต์ไฟฟ้าราคาถูกจากประเทศจีนในตลาดประเทศคู่ค้า ทำให้ความสามารถในการแข่งขันของรถยนต์ไทยลดลง

ตลาดส่งออกสำคัญที่ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน ได้แก่ ออสเตรเลีย ตะวันออกกลาง ยุโรป อเมริกากลาง และอเมริกาใต้ อย่างไรก็ตาม มีข่าวดีบ้างจากการที่ไทยสามารถส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์และอะไหล่ได้เพิ่มขึ้นในตลาดสำคัญอย่างสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น

การเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้า: ความหวังท่ามกลางความท้าทาย

แม้ภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์จะเผชิญกับความท้าทาย แต่ตลาดยานยนต์ไฟฟ้ากลับแสดงสัญญาณการเติบโตที่ดี โดยในช่วงมกราคม-มีนาคม 2568 มียานยนต์ไฟฟ้าประเภท BEV จดทะเบียนใหม่สะสมจำนวน 31,991 คัน เพิ่มขึ้น 7.66% และในเดือนมีนาคม 2568 มียานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนใหม่ 9,905 คัน เพิ่มขึ้นถึง 33.20%

ที่น่าสนใจคือ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท BEV มีจำนวนทั้งสิ้น 258,982 คัน เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 60.51% โดยรถยนต์นั่งและรถยนต์ประเภทต่างๆ มีจำนวนมากถึง 184,556 คัน เพิ่มขึ้น 65.02% รถจักรยานยนต์ไฟฟ้ามีจำนวน 68,653 คัน เพิ่มขึ้น 51.58% และรถกระบะและรถแวนไฟฟ้ามีจำนวน 953 คัน เพิ่มขึ้น 121.63%

บทสรุปและแนวโน้มอนาคต

อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในไตรมาสแรกของปี 2568 กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านท่ามกลางความท้าทายหลายด้าน ทั้งจากปัจจัยภายในประเทศอย่างหนี้ครัวเรือนสูงและเศรษฐกิจเติบโตต่ำ และปัจจัยภายนอกอย่างการแข่งขันจากรถไฟฟ้าจีนและมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดมากขึ้นในประเทศคู่ค้า

แม้ภาพรวมจะชะลอตัว แต่การเติบโตอย่างโดดเด่นของตลาดยานยนต์ไฟฟ้าถือเป็นสัญญาณที่ดีที่แสดงให้เห็นว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยกำลังปรับตัวเข้าสู่การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานสีเขียว อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมจำเป็นต้องเร่งปรับตัวและพัฒนาศักยภาพการแข่งขัน โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าและการลดต้นทุนการผลิต เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมยานยนต์โลก

ในขณะเดียวกัน ภาครัฐควรเร่งดำเนินมาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน พร้อมทั้งสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างครบวงจร ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน การวิจัยและพัฒนา และการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย เพื่อรักษาสถานะของไทยในฐานะศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ของภูมิภาคอาเซียนต่อไปในอนาคต