ลูกด่าแม่ว่า “อีเฒ่าหัวหงอก” – แม่มีสิทธิ์ยึดคืนมรดกได้ โดยอ้างเหตุ “ประพฤติเนรคุณ”

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ประมวลกฎหมายอาญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8752/2558

การที่จำเลยใช้คำ “อีเฒ่าหัวหงอก” และ “มึง” เป็นสรรพนามในการเรียกโจทก์ผู้เป็นมารดา ซึ่งไม่ปรากฏว่าโดยปกติบุคคลทั่วไปรวมถึงจำเลยใช้สรรพนามดังกล่าวแทนมารดา คำดังกล่าวไม่ได้มีความหมายว่ามารดา แต่มีความหมายเปรียบเปรยไปในทางไม่ให้ความเคารพและทำให้โจทก์ได้รับความอับอายอันเป็นการแสดงออกถึงการดูถูกเหยียดหยามโจทก์ สำหรับเนื้อหาแม้จะถือว่าเป็นการกระทบกระเทียบ แต่ก็ทำให้โจทก์ได้รับความอับอายเป็นไปในทางดูถูกเหยียดหยามโจทก์เช่นกัน การที่จำเลยด่าโจทก์ผู้เป็นมารดาด้วยถ้อยคำดังกล่าว จึงถือว่าเป็นการดูถูกเหยียดหยามและหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง เป็นการประพฤติเนรคุณต่อโจทก์อันเป็นเหตุให้โจทก์ถอนคืนการให้ได้

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 10894 และ 10896 ตำบลโพธิ์ อำเภอโนนคูณ จังหวัดศรีสะเกษ คืนโจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย

จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาถอนคืนการให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 10894 และ 10896 ตำบลโพธิ์ อำเภอโนนคูณ จังหวัดศรีสะเกษ โดยให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินคืนแก่โจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 6,000 บาท คำขออื่นให้ยก

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์เป็นมารดาจำเลย โจทก์จดทะเบียนให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 10894 และ 10896 ตำบลโพธิ์ อำเภอโนนคูณ จังหวัดศรีสะเกษ แก่จำเลย จำเลยด่าโจทก์ว่า “อีเฒ่าหัวหงอก มึงเข้าวัดเข้าได้แต่ตีน บ่”

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คำด่าดังกล่าวเป็นการดูถูกเหยียดหยามและหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงหรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยใช้คำ “อีเฒ่าหัวหงอก” และ “มึง” เป็นสรรพนามในการเรียกโจทก์ผู้เป็นมารดา ซึ่งไม่ปรากฏว่าโดยปกติบุคคลทั่วไปรวมถึงจำเลยใช้สรรพนามแทนมารดา คำดังกล่าวไม่ได้มีความหมายว่ามารดา แต่มีความหมายเปรียบเปรยไปในทางไม่ให้ความเคารพและทำให้โจทก์ได้รับความอับอายอันเป็นการแสดงออกถึงการดูถูกเหยียดหยามโจทก์ สำหรับเนื้อหาแม้จะถือว่าเป็นการกระทบกระเทียบ แต่ก็ทำให้โจทก์ได้รับความอับอายเป็นไปในทางดูถูกเหยียดหยามโจทก์เช่นกัน การที่จำเลยด่าโจทก์ผู้เป็นมารดาด้วยถ้อยคำดังกล่าว จึงถือว่าเป็นการดูถูกเหยียดหยามและหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง เป็นการประพฤติเนรคุณต่อโจทก์อันเป็นเหตุให้โจทก์ถอนคืนการให้ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น ที่จำเลยแก้ฎีกาว่า โจทก์ถือกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทแทนทายาทของนายพา รวมทั้งจำเลย การที่โจทก์ยกที่พิพาทให้จำเลยจึงเป็นการยกให้ตามหน้าที่ธรรมจรรยา เป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ในชั้นอุทธรณ์เพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมาย จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงและเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นต้องห้ามมิให้อุทธรณ์และฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

พิพากษากลับให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ