คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8710/2560
จำเลยเพียงเข้าไปชกต่อยและถีบผู้เสียหาย พฤติการณ์ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นตัวการร่วมกับพวกใช้มีดแทงผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยรู้ว่า อ. พาอาวุธมีดมา จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานร่วมกันพาอาวุธมีดไปในทางสาธารณะดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดเพียงฐานร่วมกันใช้กำลังทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ตาม ป.อ. มาตรา 391 (เดิม) เท่านั้น แม้จำเลยมิได้ฎีกาในข้อนี้ แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้เป็นคุณแก่จำเลยได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
คดีส่วนแพ่ง การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้เสียหาย และต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายเฉพาะในผลอันเกิดจากการที่ได้ใช้กำลังทำร้ายผู้เสียหาย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 44/1 เท่านั้น หาจำต้องรับผิดในผลที่ผู้เสียหายถูกแทงจนได้รับอันตรายแก่กายอันเกิดจากการกระทำของบุคคลอื่นไม่
อธิบายกฎหมายแบบบ้านๆ
นาย ก เข้าไปถีบและต่อยนาย ข ต่อมานาย อ เอามีดมาแทงนาย ข ซ้ำ นาย ก มีความผิดขั้นไหน?
มีคดีที่เกิดขึ้นและมีการตัดสินโดยศาลฎีกาแล้วว่า เมื่อ นาย ก ได้เข้าทำร้ายผู้เสียหายคือ นาย ข โดยเข้ามาชกเตะและต่อย ซึ่งในขณะนั้น นาย ข ยังไม่มีอาการบาดเจ็บสาหัสแต่อย่างใด เพราะได้รับการทำร้ายแค่เพียงถูก นาย ก ชกเตะและต่อยเท่านั้น
เมื่อ นาย ก ได้ทำร้าย นาย ข เรียบร้อยแล้ว จากนั้น นาย อ ซึ่งมาด้วยกับ นาย ก ได้เข้าทำร้าย นาย ข ด้วยการใช้มีดแทง นาย ข ซ้ำ จน นาย ข ได้รับอันตรายสาหัสเพราะการถูกแทงนั้น อย่างนี้ นาย ก จะต้องร่วมรับผิดกับ นาย อ ที่ทำให้ นาย ข ได้รับอันตรายสาหัสหรือไม่ เพราะได้เข้าทำร้ายในช่วงเวลาเดียวกัน และยังได้ร่วมกันเข้าทำร้ายในช่วงเวลาต่อเนื่องกัน และยังมาพร้อมกันด้วย
ศาลฎีกาได้ตัดสินไว้แล้วว่า ถึงแม้ว่า นาย ก จะมาพร้อมกับ นาย อ แต่หาก นาย ก ไม่ได้รู้มาก่อนว่า นาย อ ได้พกมีดติดตัวมาด้วย และไม่รู้ถึงเจตนาข้างในของ นาย อ ว่าต้องการทำร้าย นาย ข ให้ถึงตายหรือให้ได้รับอันตรายสาหัส
เพราะเจตนาแท้จริงของ นาย ก ที่มีต่อ นาย ข คือ ต้องการแค่ทำร้ายร่างกายด้วยการชก ต่อย และถีบ เพื่อให้ได้รับอันตรายเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งกรณีเช่นนี้กฎหมายเรียกว่า เป็นการทำร้ายร่างกายโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายต่อร่างการหรือจิตใจ ถือว่าเป็นความผิดลหุโทษ ที่มีโทษเบา
ดังนั้นเมื่อ นาย ก ไม่รู้ถึงเจตนาของ นาย อ ที่แท้จริง และไม่รู้ด้วยซ้ำว่า นาย อ ได้พกอาวุธมีดติดตัวมาด้วย เพื่อหวังจะนำมาแทง นาย ข จึงพอสันนิษฐานได้ว่า นาย ก ไม่น่าจะรู้ว่า นาย อ ต้องการทำร้ายร่างกาย นาย ข เพื่อให้ได้รับอันตรายสาหัสด้วยการใช้มีดแทง
ดังนั้นเมื่อ นาย ข ได้รับอันตรายสาหัสจากการที่ถูก นาย อ เอามีดแทง และไม่ปรากฏว่า นาย ก ได้รู้ถึงเจตนาของ นาย ข นาย ก ผู้กระทำความผิดคนแรกที่เพียงใช้เท้าเตะ ถีบ และต่อยผู้เสียหายเท่านั้น จึงไม่ต้องรับผิดในข้อหาทำร้ายผู้อื่นจนได้รับอันตรายสาหัส
เพราะการกระทำของ นาย ก แยกต่างหากจาก นาย อ และรับผิดทางแพ่งด้วยการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพียงข้อหา ทำร้ายร่างกายโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจเท่านั้น เพราะการบาดเจ็บที่นาย ข ได้รับคือการถูกแทง ไม่ใช่ฝีมือของนาย ก ประกอบกับ นาย ก ก็ไม่ได้มีเจตนาร่วมกับ นาย ข ในการใช้มีดแทง นาย ข ด้วย