พาผู้เสียหายไปกระทำชำเรา ขณะไปเล่นกับเพื่อนใกล้ ๆ บ้าน ถือว่าพรากผู้เยาว์หรือไม่?

ประมวลกฎหมายอาญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4057/2562

ความผิดฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจารตาม ป.อ. มาตรา 317 วรรคสาม นี้ กฎหมายบัญญัติโดยมีความมุ่งหมายที่จะคุ้มครองอำนาจของบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลผู้เยาว์ อันไม่ใช่ตัวผู้เยาว์ที่ถูกพราก และปกป้องมิให้ผู้ใดมาก่อการรบกวนหรือกระทำการอันใด ๆ อันเป็นการกระทบกระทั่งต่ออำนาจปกครอง ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยปริยาย ผู้เยาว์แม้จะไปอยู่ที่แห่งใดหากบิดามารดา ผู้ดูแล หรือผู้ปกครองยังดูแลเอาใจใส่อยู่ ผู้เยาว์ย่อมอยู่ในอำนาจปกครองดูแลของบิดามารดา ผู้ดูแล หรือผู้ปกครองตลอดเวลาโดยไม่ขาดตอน ทั้งเป็นการลงโทษผู้ที่ละเมิดต่ออำนาจปกครองของผู้ดูแลผู้เยาว์ของบิดามารดา ผู้ดูแล หรือผู้ปกครอง นอกจากนี้กฎหมายมิได้จำกัดคำว่า “พราก” โดยวิธีการอย่างใดและไม่ว่าผู้เยาว์จะเป็นฝ่ายออกจากบ้านเองหรือโดยมีผู้ชักนำหรือไม่มีผู้ชักนำ หากมีผู้กระทำต่อผู้เยาว์ในทางเสื่อมเสียและเสียหายย่อมถือได้ว่าเป็นความผิด การที่ผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งอาศัยอยู่กับผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นบิดาออกจากบ้านไปเล่นกับเพื่อนในที่เกิดเหตุซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้าน ไม่ว่าจะขออนุญาตผู้เสียหายที่ 2 หรือไม่ก็ตาม เมื่อถูกจำเลยพาไปกระทำชำเรา การกระทำของจำเลยดังกล่าวทำให้อำนาจปกครองดูแลของผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นบิดาย่อมถูกตัดขาดพรากไปแล้วโดยปริยาย หาใช่ความผิดฐานพรากผู้เยาว์ตามมาตรานี้จะต้องถึงขนาดเป็นการกระทำที่ต้องพาไปหรือแยกผู้เยาว์ออกไปจากความปกครองตั้งแต่ออกจากบ้าน ถึงจะทำให้ความปกครองถูกรบกวนหรือถูกกระทบกระเทือนแล้วจึงเป็นความผิด ดังนั้น เมื่อผู้เสียหายที่ 1 ออกจากบ้านแล้วถูกจำเลยกระทำลักษณะเสื่อมเสียเยี่ยงนี้ ถือได้ว่าเป็นการพาและแยกผู้เยาว์ไปจากความปกครองดูแล และล่วงละเมิดอำนาจปกครองของผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นบิดา อันเป็นความหมายของคำว่าพรากแล้ว การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 317 วรรคสาม

อธิบายกฎหมายแบบบ้านๆ

การพรากผู้เยาว์ซึ่งจะเป็นความผิดตามกฎหมายนั้น มีความหมายหรือคำจำกัดความเพียงใดหลายคนอาจจะยังไม่เข้าใจ ซึ่งคุณอาจหาคำตอบได้จากการตัดสินของศาลฎีกาตามคำพิพากษานี้

ศาลฎีกาได้ตัดสินกรณีผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้เยาว์ได้ออกมาเล่นใกล้ๆ บ้าน ซึ่งไม่ห่างจากบ้านมากนัก แต่จากนั้นไม่นานจำเลยก็ได้พาผู้เสียหายไปข่มขืนกระทำชำเรา จะถือว่าจำเลยมีความผิดข้อหาพรากผู้เยาว์ด้วยหรือไม่

ศาลฎีกาได้ตัดสินไว้ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 4057/2562 ซึ่งข้อเท็จจริงตามคดีมีว่า ผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้เยาว์อยู่ในการดูแลของพ่อ แม่ ได้ออกไปเล่นกับเพื่อนใกล้ๆ บ้าน ซึ่งพื้นที่ที่เด็กได้ไปเล่นนั้นแม้จะอยู่ไม่ไกลบ้านก็ตาม และจากนั้นจำเลยได้เข้ามาพาเด็กนั้นไปข่มขืนกระทำชำเรา จะถือว่าจำเลยผิดข้อหาพรากผู้เยาว์หรือไม่ เพราะความเป็นจริงจำเลยไม่ได้เป็นผู้ชวนหรือหลอกล่อให้ผู้เสียหายออกจากบ้าน แต่เป็นกรณีที่ผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กได้ออกจากบ้านมาอยู่ก่อนแล้ว

กรณีตามอุทาหรณ์นั้น ถึงแม้ว่าเด็กจะออกจากบ้านเพื่อมาเล่น โดยไม่ใช่ความคิดของจำเลยที่จะแยกเด็กออกจากพ่อแม่ก็ตาม แต่เมื่อเด็กได้เล่นอยู่ในละแวกบ้านนั้น กลับถูกจำเลยพาไปเพื่อข่มขืนกระทำชำเรา

ถือได้ว่าจำเลยได้พรากอำนาจการดูแลของพ่อแม่เด็กนั้นแล้ว เพราะศาลได้บอกว่าไม่จำเป็นที่จำเลยจะต้องเป็นผู้ชักชวนหรือหลอกล่อให้เด็กออกจากบ้าน หรือเป็นผู้พรากเด็กตั้งแต่อยู่ในบ้านเท่านั้น

เพียงแค่เด็กหรือผู้เสียหายได้เล่นอยู่ และจำเลยได้ตัดอำนาจการดูแลของพ่อแม่เด็ก ด้วยการพาเด็กไปที่อื่น โดยหวังที่จะกระทำผิดกฎหมาย ก็ถือว่าจำเลยมีความผิดข้อหาพรากเด็กไปเพื่อการอนาจารแล้ว

และไม่ว่าเด็กนั้นจะได้ยินยอมไปกับจำเลยหรือไม่ก็ตาม ก็ยังถือว่าจำเลยมีความผิดข้อหาพรากเด็กไปเพื่อการอนาจารอยู่ดี เพราะกฎหมายหวังที่จะคุ้มครองเด็กให้อยู่ในการปกครองดูแล หรือให้อยู่ในอำนาจการปกครองของผู้ดูแล

แต่เมื่อจำเลยได้พาเด็กนั้นไปแม้เด็กจะให้ความยินยอมหรือไม่ก็ตาม จำเลยก็มีความผิดข้อหาพรากเด็กเพื่อการอนาจารแล้ว เพราะถือว่าจำเลยได้กระทำความผิดต่อพ่อแม่ของเด็ก ไม่ใช่กระทำความผิดต่อเด็กนั้น

เพราะเด็กย่อมต้องได้รับการดูแลและปกครองของพ่อและแม่ แต่เมื่อจำเลยได้พาเด็กนั้นไปที่อื่นโดยที่พ่อแม่เด็กไม่ยินยอมด้วย ก็ถือว่าเป็นความผิดสำเร็จแล้ว

และเมื่อจำเลยได้พาเด็กไปโดยหวังจะข่มขืนกระทำชำเรา จำเลยก็มีความผิดข้อหาพรากเด็กไปเพื่อการอนาจาร