เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้ตายมีทายาท ใครมีอำนาจจัดการเงินในการจัดงานศพ

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2157/2561

ข้อเท็จจริงได้ความว่า เงินในบัญชีเป็นเงินบริจาคที่ได้มาจากการทำศพของผู้ตาย จึงต้องพิจารณาว่า โจทก์เป็นผู้มีอำนาจจัดการศพของผู้ตายหรือไม่ ปรากฏจากทางนำสืบของโจทก์จำเลยว่า ผู้ตายไม่ได้ตั้งผู้จัดการมรดกและไม่ได้ตั้งผู้จัดการศพ ทายาทไม่ได้มอบหมายตั้งให้ผู้ใดเป็นผู้จัดการศพ อีกทั้งไม่มีผู้ได้รับทรัพย์มรดกด้วย เพราะผู้ตายไม่มีทรัพย์มรดก จึงเป็นกรณีที่ไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้ ต้องวินิจฉัยโดยเทียบบทกฎหมายใกล้เคียงอย่างยิ่ง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 4 วรรคสอง โดยนำ ป.พ.พ. มาตรา 1649 มาปรับใช้ว่า ผู้ที่มีสิทธิได้รับมรดกของผู้ตายเป็นผู้มีหน้าที่จัดการศพ เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้ตาย มีทายาท คงมีแต่โจทก์ซึ่งเป็นวัดที่ผู้ตายมีภูมิลำเนาขณะถึงแก่มรณภาพเป็นผู้มีสิทธิรับมรดกของผู้ตาย ป.พ.พ. มาตรา 1623 จึงถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิรับมรดกโดยสิทธิโดยธรรมตามนัยมาตรา 1649 โจทก์จึงเป็นผู้มีอำนาจและหน้าที่จัดการทำศพผู้ตาย มีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยจัดการมอบเงินในบัญชีให้โจทก์เพื่อนำไปใช้ในการจัดการทำศพผู้ตายต่อไป

อธิบายกฎหมายแบบบ้านๆ

กรณีที่ผู้ตายไม่มีทรัพย์มรดกก่อนตาย จึงทำให้ทายาทไม่ได้รับมรดก และผู้ตายก็ไม่ได้ตั้งผู้จัดการศพหรือผู้จัดการมรดกไว้ล่วงหน้า ต่อแต่นั้นมาผู้ตายได้เกิดมรณภาพในสมณะเพศที่ตนเองกำลังบวชเป็นพระอยู่ และมีประชานชนบริจาคเงินเพื่อเป็นค่าทำศพให้แก่ผู้ตาย เช่นนี้ใครจะเป็นผู้มีอำนาจบริหารเงินที่ได้จากการบริจาคนั้น

มีข้อเท็จจริงที่เกิดจากการฟ้องร้องกันตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2157/2561 โจทก์ซึ่งเป็นวัดในขณะนี้ผู้ตายได้บวชอยู่ในขณะที่ผู้ตายเสียชีวิตลง ได้ฟ้องร้องเรียกให้ตนเองเป็นผู้จัดการบริหารเงินที่ได้จากการบริจาคให้ผู้ตาย ซึ่งวัดได้เรียกเงินจากทายาทของผู้ตาย

โดยก่อนหน้านี้ผู้ตายไม่ได้ตั้งผู้จัดการมรดกไว้และไม่ได้ตั้งผู้จัดการทำศพด้วย และแม้ว่าทายาทโดยธรรมทั้งลูก หลาน ตามกฎหมายจะเป็นผู้ได้รับมรดกของผู้ตายก็ตาม แต่เมื่อในขณะที่ผู้ตายได้ตายลงไม่มีทรัพย์สินใดๆ ทั้งสิ้น จึงทำให้ไม่มีทายาทโดยธรรมที่จะเข้ารับมรดกของผู้ตาย

และเมื่อมีเงินที่เกิดจากการบริจาคเป็นค่าทำศพ ค่าปลงศพของผู้ตาย ทายาทจึงไม่มีสิทธิจัดการบริหารเงินนั้นได้ แต่ศาลฎีกาได้ตัดสินไว้ว่า จะต้องเป็นวัดที่ผู้ตายจำวัดนั้นอยู่ในขณะนี้ผู้ตายได้เสียชีวิตลง

ซึ่งกรณีนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะ ศาลฎีกาจึงนำบทกฎหมายที่ใกล้เคียงนำมาปรับใช้เพื่อให้เกิดความยุติธรรมมากที่สุด

ดังนั้นเงินที่ได้จากการบริจาคเป็นค่าทำศพของพระภิกษุผู้เสียชีวิตที่ไม่ได้จัดการตั้งผู้จัดการมรดกและไม่มีทายาทโดยธรรมที่จะเข้ารับมรดก เงินจากการบริจาคนี้จึงตกเป็นของวัดที่ผู้ตายได้เสียชีวิตลง

เพราะฉะนั้นวัดจึงมีอำนาจในการบริการจัดการเงินจัดการศพที่มีผู้บริจาคให้แก่พระภิกษุผู้ตาย เพราะเป็นวัดที่ผู้ตายได้ประจำอยู่ในขณะที่ถึงแก่ความตาย ซึ่งญาติไม่ว่าจะเป็นลูก หลาน หรือภรรยาก็ไม่อาจเข้ามาบริหารจัดการเงินนี้ได้ เพราะผู้ตายไม่ได้ตั้งผู้จัดการมรดกไว้ อีกทั้งผู้ตายก็ไม่มีทรัพย์สินที่จะเป็นมรดกตกทอดให้แก่ทายาทด้วย

จึงเป็นข้อสรุปได้ว่าเงินบริจาคที่มีผู้บริจาคให้ไว้เพื่อวัตถุประสงค์เป็นค่าจัดการศพ ทั้งค่าเผาศพบำเพ็ญกุศลตามหลักของศาสนา ย่อมตกเป็นของวัดที่ซึ่งผู้ตายได้ประจำวันนั้นในระหว่างที่เสียชีวิต

แม้จะมีภรรยา หรือลูกหลานที่ใกล้ชิดทางสายเลือดก็ไม่มีสิทธิเข้ามาบริหารจัดการเงินบริจาคค่าทำศพนี้ได้ เนื่องจากไม่มีการระบุไว้ก่อนตายให้ญาติเหล่านี้เป็นผู้จัดการมรดกนั่นเอง