คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1975/2562
กรณีตาม ป.พ.พ. มาตรา 531 (2) เป็นการเรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุผู้รับประพฤติเนรคุณด้วยการหมิ่นประมาทผู้ให้อย่างร้ายแรงนั้น มีความจำเป็นที่โจทก์จะต้องระบุมาในคำฟ้องให้ชัดเจนว่าจำเลยที่ 1 ผู้รับกล่าวถ้อยคำอย่างไร เมื่อใด ต่อใคร เพื่อเป็นข้อที่จะให้ศาลพิจารณาว่าเข้าเงื่อนไขที่จะเรียกถอนคืนการให้ได้หรือไม่ ลำพังแต่การบรรยายว่าจำเลยที่ 1 ด่าว่าโจทก์ด้วยถ้อยคำหยาบคายอีกหลายครั้ง โดยไม่มีรายละเอียดว่า ด่าว่าอย่างไร เหตุเกิดเมื่อใด ซึ่งจำเลยทั้งสามก็ให้การต่อสู้ว่า ฟ้องในส่วนนี้เคลือบคลุม แม้โจทก์จะนำสืบในชั้นพิจารณาว่า จำเลยที่ 1 ด่าโจทก์ว่า “อีเหี้ย” และกล่าวว่า “มึงเอาน้ำกูไปใช้กี่ครั้งแล้ว” แต่ตามคำเบิกความของโจทก์ก็ปรากฏว่า โจทก์จำวันเวลาเกิดเหตุไม่ได้ ดังนี้ คำฟ้องโจทก์ในส่วนนี้จึงเป็นคำฟ้องที่ไม่แจ้งชัด และไม่ใช่เรื่องที่โจทก์จะไปนำสืบในรายละเอียดได้ ฟ้องโจทก์ในส่วนนี้จึงเคลือบคลุม และเมื่อฟ้องโจทก์มิได้ระบุว่า จำเลยที่ 1 ด่าว่าโจทก์ว่า “อีเหี้ย” คำนี้จึงไม่เป็นประเด็นพิพาทที่โจทก์จะนำสืบได้ จึงเป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็น ต้องห้ามมิให้รับฟัง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 87 (1)
อธิบายกฎหมายแบบบ้านๆ
กรณีที่ผู้มีบุญคุณหรือผู้มีอุปการคุณได้ยกสิ่งของหรือทรัพย์สินให้โดยเสน่หานั้น หากในวันหนึ่งผู้รับทรัพย์สินนั้นประพฤติเนรคุณต่อผู้ให้ ไม่ว่าจะเป็นการด่าแบบหยาบคาย หรือกระทำสิ่งใดที่ไม่ดีต่อผู้ให้ก็ตาม ตามกฎหมายถือได้ว่าผู้รับทรัพย์สินได้ประพฤติเนรคุณ ผลก็คือผู้ให้ทรัพย์สินนั้นสามารถเรียกคืนหรือถอนคืนการให้ทรัพย์นั้นได้
ดังนั้นกฎหมายจึงกำหนดขึ้นมาเพื่อปกป้องสิทธิของผู้ให้ทรัพย์สินที่สามารถเรียกคืนการให้ได้เช่นกัน แต่ก็มีเงื่อนไขที่จะต้องระบุมาในคำฟ้องด้วยว่า ถูกประพฤติเนรคุณวันและเวลาใดให้ชัดเจนด้วย มิเช่นนั้นก็จะกลายเป็นว่าผู้ให้ทรัพย์สินสามารถเรียกคืนการให้ได้ตลอดเวลาอีก ซึ่งก็จะไม่เป็นธรรมแก่ผู้รับการให้อีกเช่นกัน
ดังนั้นวันและเวลาที่จำเลยได้ประพฤติเหตุเนรคุณต่อผู้ให้ทรัพย์สินจึงจำเป็นที่จะต้องระบุไปในคำฟ้องให้ชัดเจนด้วย เพื่อเป็นการแสดงให้ศาลเห็นว่าผู้ให้ได้นำคดีมาฟ้องภายในอายุความถอนคืนการให้
มีข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในคดีจากคำตัดสินของศาลตามคำพิพากษาฎีกาที่ 1975/2562 เป็นกรณีที่โจทก์หรือผู้ให้ทรัพย์สินมาฟ้องจำเลยหรือผู้รับทรัพย์สิน ให้ศาลสั่งให้ถอนคืนการให้ของตน เพราะผู้รับการให้ประพฤติเหตุเนรคุณตามกฎหมาย
โดยมีการพูดด่าทอตนเองด้วยคำพูดหยาบคายว่า “อีเหี้ย” และยังกล่าวอีกว่า “มึงเอาน้ำกูไปใช้กี่ครั้งแล้ว” ซึ่งตามกฎหมายถือว่าจำเลยได้ประพฤติเนรคุณต่อผู้ให้ซึ่งผู้ให้อาจเรียกถอนคืนการให้ได้
แต่ตามคำฟ้องซึ่งจะต้องระบุวันและเวลาที่จำเลยประพฤติเนรคุณไว้ให้ชัดเจนตามที่กฎหมายกำหนด แต่ผู้ให้ทรัพย์สินไม่สามารถจำได้ว่าจำเลยได้ด่าทอตนเองเมื่อใด และวันใด จึงเป็นกรณีที่คำฟ้องไม่ระบุให้ชัดเจนถึงเวลาแห่งการเนรคุณ เพราะกฎหมายได้กำหนดเวลาให้ผู้ให้สามารถถอนคืนการให้ได้ภายในเวลา 1 ปี นับแต่วันที่ถูกประพฤติเนรคุณ
ดังนั้นเมื่อผู้ให้ทรัพย์สินจำไม่ได้ว่าถูกด่าเมื่อใด ที่จะแสดงให้ศาลเห็นได้ว่าผู้รับการให้ได้ประพฤติเนรคุณเมื่อใด และผู้ให้ได้มาฟ้องภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด
ผู้ให้ทรัพย์สินจึงไม่สามารถนำสืบให้ศาลเห็นในชั้นพิจารณาได้ เพราะการจะสืบพยานให้ศาลเห็นได้ดังคำฟ้องว่าจำเลยผิดจริงนั้น จะต้องเป็นกรณีที่โจทก์ได้กล่าวในคำฟ้องให้ชัดเจนเสียก่อน
แต่เมื่อโจทก์ไม่ได้กล่าวถึงวันและเวลาที่จำเลยประพฤติเหตุเนรคุณ จึงไม่มีประเด็นที่โจทก์จะนำสืบเพื่อให้ศาลเห็นเป็นอย่างอื่นได้
เพราะจะเป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็น ต้องห้ามตามกฎหมาย สรุปก็คือเมื่อโจทก์จำวันที่ถูกด่าไม่ได้ โจทก์จึงไม่สามารถถอนคืนการให้ข้อหาประพฤติเนรคุณได้นั่นเอง