บอกเลิกสัญญาแฟรนไชส์ เนื่องจากไม่ยอมซ่อมเครื่องทำไอศครีม ได้หรื่อไม่?

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1621/2562

เมื่อศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตให้รับฎีกาโจทก์เฉพาะประเด็นว่า จำเลยไม่มีสิทธิเรียกเงินค่าแฟรนไชส์ส่วนที่เหลือตามฟ้องแย้ง ข้อเท็จจริงย่อมรับฟังเป็นยุติได้ต่อไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ว่า โจทก์ไม่อาจอาศัยเหตุที่ว่า จำเลยส่งมอบเครื่องทำไอศกรีมเกล็ดหิมะมือสองให้แก่โจทก์และไม่ส่งแผ่นพับและธงญี่ปุ่นให้โจทก์มาบอกเลิกสัญญากับจำเลยได้ และถือไม่ได้ว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญากับจำเลย แม้โจทก์และจำเลยยังคงมีนิติสัมพันธ์กันตามสัญญาธุรกิจแฟรนไชส์ ซึ่งเป็นสัญญาต่างตอบแทน โจทก์ในฐานะลูกหนี้มีหน้าที่ปฏิบัติการชำระหนี้ค่าแฟรนไชส์ที่เหลือจำนวน 175,000 บาท ให้แก่จำเลย ภายในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2559 แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เครื่องทำไอศกรีมเกล็ดหิมะของจำเลยเกิดการขัดข้องในการใช้งาน เนื่องจากมีความชำรุดบกพร่องเกี่ยวกับการเซ็ทระบบและภูมิอากาศในประเทศไทย โจทก์จึงชอบที่จะยึดหน่วงไม่ชำระหนี้ค่าแฟรนไชส์ที่เหลืออยู่จำนวน 175,000 บาท ได้จนกว่าจำเลยจะแก้ไขความชำรุดบกพร่องของเครื่องทำไอศกรีมเกล็ดหิมะดังกล่าว หรือหาประกันที่สมควรให้ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 488

อธิบายกฎหมาย

บอกเลิกสัญญาแฟรนไชส์ เนื่องจากไม่ยอมซ่อมเครื่องทำไอศกรีมได้หรือไม่?

ปัจจุบันธุรกิจแฟรนไชส์มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งเราจะเห็นได้บ่อยและจำนวนมากโดยเฉพาะร้านอาหารที่เป็นสาขาแฟรนไชส์ โดยการซื้อลิขสิทธิ์รวมทั้งอุปกรณ์จากเจ้าของแฟรนไชส์ และที่สำคัญจะต้องมีการสอนสูตรหรือวิธีการทำให้กับผู้ซื้อด้วย และเจ้าของแฟรนไชส์บางรายก็มีข้อกำหนดให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์ ต้องรับวัสดุในการทำอาหารด้วยทุกครั้ง

ตามกฎหมายจึงเรียกได้ว่าธุรกิจแฟรนไชส์เป็นการทำสัญญาต่างตอบแทน เพราะผู้ซื้อแฟรนไชส์มีหน้าที่ต้องจ่ายเงินค่าซื้อแฟรนไชส์ ส่วนเจ้าของแฟรนไชส์ก็มีหน้าที่ต้องส่งมอบวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ในการทำธุรกิจแฟรนไชส์นั้นๆ ให้แก่ผู้ซื้อให้ครบตามที่ตกลงกันไว้

ซึ่งตามคำพิพากษาศาลฎีกานี้ ศาลตัดสินว่าโจทก์หรือผู้ซื้อแฟรนไชส์ไม่สามารถอ้างเหตุว่าเจ้าของแฟรนไชส์ส่งมอบเครื่องทำไอศครีมกล็ดหิมะมือสอง และไม่ส่งแผ่นพับและธงญี่ปุ่นให้กับโจทก์ มาเป็นเหตุเพื่อบอกเลิกสัญญาได้ โจทก์ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญา

ซึ่งตามหน้าที่แล้วโจทก์คือผู้ซื้อแฟรนไชส์ยังมีหน้าที่ในการจ่ายเงินค่าซื้อแฟรนไชส์ให้กับจำเลยตามส่วนที่ยังเหลืออยู่อีก 175,000 บาท ให้แก่เจ้าของแฟรนไชส์ภายในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2559

แต่มีข้อเท็จจริงเกิดขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นเหตุทำให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์ยังไม่ต้องจ่ายเงินให้แก่เจ้าของแฟรนไชส์ได้คือ เจ้าของแฟรนไชส์หรือจำเลยส่งมอบเครื่องทำไอศกรีมเกล็กหิมะเกิดการขัดข้องในการใช้งาน จนไม่สามารถใช้งานเพื่อขายไอศครีมได้ตามปกติ เพราะยังมีข้อชำรุดบกพร่องเกี่ยวกับการเซ็ทระบบและภูมิอากาศในประเทศไทย ซึ่งไม่ใช่เกิดการขัดข้องจากการใช้งานเครื่องทำไอศครีมของผู้ซื้อ

แต่เครื่องทำไอศกรีมไม่สามารถใช้งานได้ตั้งแต่เจ้าของแฟรนไชส์ส่งมอบแล้ว

เมื่อสัญญาแฟรนไชส์นี้เป็นสัญญาต่างตอบแทนตามที่กฎหมายกำหนด คือคู่สัญญาทั้ง  2 ฝ่าย คือฝ่ายผู้ซื้อแฟรนช์และฝ่ายเจ้าของแฟรนไชส์มีหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติต่อกัน

เรียกได้ว่าต่างฝ่ายต่างเป็นทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ในเวลาเดียวกัน คือเจ้าของแฟรนไชส์ก็มีฐานะเป็นเจ้าหนี้ในการได้รับเงินจากผู้ซื้อและมีฐานะเป็นลูกหนี้ในขณะเดียวกัน คือการส่งมอบเครื่องทำไอศกรีมในสภาพที่ใช้งานได้ตามปกติ

ส่วนผู้ซื้อแฟรนไชส์ก็มีฐานะเป็นเจ้าหนี้คือ จะต้องได้รับเครื่องไอศกรีมในสภาพที่ใช้งานได้ตามปกติ และยังมีฐานะเป็นลูกหนี้ในเวลาเดียวกันคือ ต้องจ่ายเงินจำนวน 175,000 บาท ตามส่วนที่เหลือให้แก่เจ้าของแฟรนไชส์

ดังนั้นเมื่อเป็นสัญญาต่างตอบแทน เมื่อผู้ซื้อแฟรนไชส์ยังไม่ได้รับมอบเครื่องทำไอศกรีมที่สามารถใช้งานได้จริง จึงมีสิทธิที่จะยังไม่จ่ายเงินส่วนที่เหลือได้ ซึ่งกฎหมายเรียกการกระแบบนี้ว่า “สิทธิยึดหน่วง”  จนกว่าจะได้รับมอบเครื่องทำไอศครีมที่ใช้งานได้ตามปกติ